แม้ประชาธิปไตยจะถือกำเนิดมาสองพันกว่าปี แต่มนุษย์ก็ยังตั้งคำถามนี้ และถกเถียงกันไม่รู้จบ ราวกับหนังสือที่ไม่มีบทสรุป
หรือแม้จะมีผู้บัญญัติความหมายไว้ในพจนานุกรมอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมความหมายที่มนุษย์แต่ละคนบัญญัติไว้ในใจ
“แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่” ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษคนสำคัญของไทย เคยให้ความหมายประชาธิปไตยไว้ในงานเขียน ‘ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเบื้องต้น กับการร่างรัฐธรรมนูญ’ (หนังสือ: แนวความคิดประชาธิปไตยของ ปรีดี พนมยงค์, หน้า 133)

แต่ถึงอย่างนั้น ความหมายของประชาธิปไตยก็ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้กระทั่งในปี พ.ศ.2566 บรรดาพรรคการเมืองต่างเอ่ยอ้างและถกเถียงเกี่ยวกับ ‘ประชาธิปไตย’ ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตยมากกว่ากัน
ประจักษ์ ก้องกีรติ นักวิชาการ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเขียนอย่างน่าคิดเกี่ยวกับการช่วงชิงความหมายคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ ไว้ว่า
“เราไม่ควรใสซื่อไร้เดียงสาอีกต่อไปว่าคำนิยามและการให้ความหมายต่อประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องที่ปลอดจากความสัมพันธ์ทางอำนาจ”
“เพราะการนิยามความหมายทั้งหลายเป็นกิจกรรมทางการเมืองชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ และคนนิยามก็มีเจตจำนงทางการเมืองอยู่ในใจเสมอ” (บทความ: ประชาธิปไตยของฉัน ของท่าน และของเธอ, พ.ศ.2553)
ท่ามกลางการหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง พ.ศ.2566 นักการเมืองต่างลงพื้นที่หาเสียงและขึ้นเวทีดีเบตรายวัน เพื่อ ‘พูด’ หาเสียง ‘ขาย’ นโยบาย และแน่นอนย่อมไม่ลืมเอ่ยอ้างถึง ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘ประชาชน’


และถ้าเรา-ประชาชนไม่ใสซื่อไร้เดียงสาจนเกินไป ก็ไม่ควรหูเบา ฟังความข้างเดียว แล้วเชื่อโดยไม่ลืมหูลืมตาว่า สิ่งที่นักการเมือง (ไม่ว่าพรรคใด) เอ่ยอ้างถึงนั้นคือประชาธิปไตยในความหมาย ‘มติปวงชนเป็นใหญ่’
เพราะอาจมีคนที่พูดจากใจจริง และก็อาจมีบางคนที่พูดโดยเอาประชาชนนำหน้า แต่ความจริงเป็นแค่ทางผ่านไปสู่อำนาจในสภาฯ



หวังว่า ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คุณตัดสินใจเลือก ‘คน’ และ ‘พรรค’ ที่ใช่ จากหัวและใจของตัวเองอย่างแท้จริง
เนื่องจากทุกการเลือกตั้ง มีราคาที่ต้องจ่าย นั่นคืออนาคตของประเทศที่ยาวนานถึง 4 ปี

สุลักษณ์ ศิวรักษ์
ปัญญาชนสยาม“แก่นสารของประชาธิปไตยคือทุกคนต้องมีสิทธิที่จะแสดงความคิดความเห็นได้ และการเมืองการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยนั้นจะต้องมุ่งไปที่ความยุติธรรมทางสังคม กล่าวคือนอกจากทุกคนจะมีสิทธิมีเสียงมีเสรีภาพแล้ว จะต้องหาทางลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ลดช่องว่างระหว่างคนมีอำนาจกับคนไร้อำนาจ”
“...ความสำคัญของประชาธิปไตยอยู่ตรงที่มนุษย์สามารถออกความคิดความเห็นของตนเองได้ ถ้าปราศจากอันนี้แล้วเป็นประชาธิปไตยปลอม”
(หนังสือ: วิวาทะว่าด้วยแก่นสารของ ‘ประชาธิปไตย’ คืออะไรกันแน่, หน้า 96)

ประจักษ์ ก้องกีรติ
นักวิชาการ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ประชาธิปไตยในแง่รูปแบบมันไม่ต้องมีแบบเดียว แต่คุณค่าสากลต้องมีเหมือนกัน ก็คือ เรื่องความเสมอภาค ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย และประกันสิทธิเสรีภาพของผู้คน… ในที่สุดแล้วเราต้องถามว่า เรากำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ไหมล่ะ? ถ้าเรากำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ แสดงว่าเราอยู่ในสังคมประชาธิปไตย”
(บทสัมภาษณ์: ประจักษ์ ก้องกีรติ ผู้เชื่อว่า ‘ประชาธิปไตย คือ สิ่งมีชีวิต’ กับเหตุผลว่าทำไมคนไทยยังไม่ควร Move on โดยจิราพร จันทรา, BrandThink)

ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล
นักศึกษาและนักเคลื่อนไหว หนึ่งในผู้นำของกลุ่มคณะราษฎร 2563“หนูมองว่าหลักสำคัญของแนวคิดประชาธิปไตย คือการหยิบยื่นโอกาสที่เท่าเทียมกันให้กับคนทุกคนมากกว่า และหลังจากนั้นแล้ว เมื่อทุกคนมีโอกาส และทุกคนเข้าใจถึงโอกาสของตัวเอง ก็จะพ่วงกับคำว่าสิทธิ”
(บทสัมภาษณ์: ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล ‘เหตุการณ์เดือนตุลาฯ ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีในแบบเรียน’ โดยณภัทร ปัญกาญจน์, สถาบันปรีดี พนมยงค์)

จาตุรนต์ ฉายแสง
นักการเมือง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
“...ประชาธิปไตยคือการปกครองที่อำนาจเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นคนกำหนดและตัดสินความเป็นไปของบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดว่าใครจะเป็นผู้บริหารปกครองประเทศ ใครจะเป็นผู้ออกกฎหมาย และสิ่งที่จะต้องมีควบคู่กันก็คือหลักนิติธรรม โดยกระบวนการยุติธรรมที่ยุติธรรมจริง เป็นอิสระ และต้องตรวจสอบได้โดยประชาชน...”
(หนังสือ: OCTOBER 09 - Democracy, หน้า 58)

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
นักปราชญ์ นักเขียน นักการเมือง อดีตนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 13“ประชาธิปไตย (น.) ระบอบการปกครองที่ทุกคนเห็นว่าตัวเองเป็นผู้เผด็จการ”
(หนังสือ: พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์, หน้า 76)

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
นักคิด นักเขียน และอดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516“...แนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เป็นขั้วตรงข้ามกับความเป็นคนดี หากแต่คัดค้านการผูกขาดในเรื่องนี้ และต้องการทำให้ความดีเป็นเรื่องเข้าถึงได้โดยคนทุกคน โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองก็ไม่ได้ต่อต้านความเป็นคนดีโดยทั่วไป ผมเพียงแต่เห็นว่าการสมมติตนเป็นคนดีเพื่อรวบอำนาจนั้น ไม่ถูกต้อง...”
(ปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์: หัวข้อ ‘ประเทศไทยในความคิด ความคิดในประเทศไทย’, 9 มีนาคม พ.ศ.2561)

นิธิ เอียวศรีวงศ์
นักคิด นักเขียน และศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์“ผมคิดว่าหัวใจสำคัญที่สุด (ของประชาธิปไตย) คือการต่อรองที่เท่าเทียมกันในทุกๆ กลุ่ม แต่อันนี้มันเป็นอุดมคติที่เราจะพบว่ามันไปไม่ถึงในทุกสังคมเลยก็ว่าได้...”
(หนังสือ: วิวาทะว่าด้วยแก่นสารของ ‘ประชาธิปไตย’ คืออะไรกันแน่, หน้า 98)

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา“เมื่อ 20 ปีก่อน ที่วังสวนจิตรลดา เย็นวันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) เสด็จลงทรงงานตามปกติ ประทับนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น โดยที่มีการเตรียมพระราชอาสน์ไว้ แต่พระองค์ไม่เคยประทับ เย็นวันนั้นแปลกไป เพราะพระองค์ไม่ทรงงานแต่จ้องไปที่พระราชอาสน์ แล้วตรัสว่า ‘ทำไมในหลวงจะต้องเหนื่อย ทำไมในหลวงต้องแบกงานมากมาย ที่ยังต้องทำอย่างนี้เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อเขายากจนก็ขาดเสรีภาพ อิสรภาพ และเมื่อขาดอิสรภาพก็ไม่เป็นประชาธิปไตย’ ประโยคนี้สรุปสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไว้หมด เพราะความเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ดูเฉพาะลายลักษณ์อักษรที่เขียนไว้เท่านั้น แต่ต้องมีสำนึกเป็นประชาธิปไตยทั้งกายและใจ ทรงเน้นเงื่อนไขความเป็นประชาธิปไตยอยู่ที่ความพร้อมความมีอยู่มีกินของประชาชน ...แต่คนไม่พยายามตีความหมายนี้ให้แตก กระทั่งผมได้ยินมากับหูตัวเองจึงต้องนำมาเล่าสู่กันฟัง”
(เอกสารวิชาการส่วนบุคคล: พระมหากษัตริย์กับการจรรโลงประชาธิปไตย โดย ดร.ดิสธร วัชโรทัย, หน้า 16)

คำ ผกา
นักเขียน คอลัมนิสต์ และพิธีกรช่อง VOICE TV“เราเคยพูดกันมานับร้อยนับพันครั้งแล้วว่า ประชาธิปไตยจะเป็นประชาธิปไตยในรูปแบบไหนก็ได้ ...แต่อย่างน้อยที่สุดที่ไม่มีไม่ได้ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยคือ การเลือกตั้งที่นับชัยชนะกันที่ใครได้เสียงข้างมาก ประชาธิปไตยคือระบอบที่นับเสียง Majority ที่ได้จากการโหวต นี่คือ ‘หัวใจ’ เช่นเดียวกับคนที่ไม่มีหัวใจก็ไม่มีชีวิต ประชาธิปไตยที่ไม่มีการเลือกตั้งอันยึดชัยชนะของเสียงข้างมากเป็นหมุดหมาย ก็ต้องเรียกให้เป็นอย่างอื่น จะมาอ้างมั่วๆ ซั่วๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยไม่ได้
อีกประการหนึ่งคือการมี 1 สิทธิ 1 เสียง เมื่อเป็นเช่นนี้ การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการ ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการมีอยู่ซึ่งประชาธิปไตย เมื่อเป็นเช่นนั้นคนไทยทุกคนต้องซีเรียสกับการเลือกตั้ง และต้องซีเรียสกับคณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างมากที่สุด”
(บทความ: ความสูญเสียเกินเยียวยา โดย คำ ผกา, มติชนสุดสัปดาห์)

อานนท์ นำภา
ทนายความ และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน“มันไม่มีโลกพระศรีอาริย์ในโลกความเป็นจริง แต่จุดที่ทุกคนแสดงออกได้อย่างเสรี และเคารพความเป็นมนุษย์ของกันและกัน นี่คือสิ่งที่เราอยากเห็นในช่วงชีวิตของเรา เราอยากเห็นสถาบันกษัตริย์เคารพความเป็นมนุษย์ของราษฎร และก็อยู่กันโดยเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เราก็เคารพสถาบันกษัตริย์ สถาบันก็เคารพความเป็นมนุษย์ของเรา ในแง่หนึ่งความสัมพันธ์ที่มีการเคารพซึ่งกันและกัน ก็นำไปสู่หัวใจสำคัญของการเป็นประชาธิปไตย คือหลักเสรีภาพ เสมอภาค และอยู่กันอย่างภราดรภาพ เคารพกันแม้แตกต่างกัน”
(บทสัมภาษณ์: ทนายอานนท์ นำภา : การต่อสู้ จุดยืนถึงเสรีภาพในการแสดงออก และประชาธิปไตยที่อยากเห็น โดย กรุณพร เชษฐพยัคฆ์, THE MATTER)

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
กวี และสมาชิกวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 (พ.ศ.2562-ปัจจุบัน)“คำว่าประชาธิปไตย คือ
1. การได้มาซึ่งอำนาจด้วยความชอบธรรม
2. การทรงไว้ซึ่งอำนาจโดยความชอบธรรม
3. การใช้อำนาจต้องชอบธรรม
4. การมีส่วนร่วมในอำนาจของประชาชนต้องชอบธรรม
ทั้ง 4 อย่างนี้ถือเป็นอำนาจอันชอบธรรมของประชาชน ประชาธิปไตยต้องอย่างนี้ ถ้าผิดไปจากนี้ไม่ใช่ ถือเป็นเผด็จการหมด”
(บทสัมภาษณ์: ‘ผมไม่ใช่นั่งร้านรัฐบาลเผด็จการ แต่ผมใช้รัฐบาลเผด็จการเป็นนั่งร้านทำงานด้านศิลปวัฒธรรม’ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ โดย อินทรชัย พาณิชกุล, THE MOMENTUM)

พริษฐ์ วัชรสินธุ
ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกล“คำพูดที่ว่า ‘นี่ไง บ้านเมืองไม่สงบเพราะเป็นประชาธิปไตย’ ในมุมมองผมนะ ประชาธิปไตยควบคู่กับการเห็นต่างอยู่แล้ว ยิ่งถ้าคนเห็นต่างสามารถออกมาพูดได้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ทุกคนในประเทศคิดเหมือนกัน แต่นั่นไม่ได้แปลว่าทุกความแตกต่างคือบ้านเมืองที่ไม่สงบหรือทะเลาะกัน
ผมเองชอบแยกคำว่าสงบและสันติภาพออกจากกัน ถ้าอยากให้สงบ แค่เอาปืนไปจ่อหัวทุกคนว่าห้ามพูด บ้านเมืองก็สงบแล้ว แต่ถ้าอยากได้สันติภาพ ผมว่านี่เป็นความสงบที่ชอบธรรม มันดีกว่ามากเพราะคนสามารถอยู่ร่วมกันโดยคงไว้ซึ่งสิทธิในการแสดงความเห็น โต้แย้งและวิพากษ์วิจารณ์ เหมือนถ้าเปรียบประเทศเป็นครอบครัว ผมก็ไม่ได้อยากอยู่ในบ้านที่กินข้าวกันแล้วทุกคนเงียบ แต่ผมอยากอยู่ในบ้านที่ทุกคนคิดต่างกันได้ ถกเถียงกันได้และหาวิธีตัดสินใจร่วมกันได้โดยที่ไม่มีใครต้องออกจากบ้านไป”
(บทสัมภาษณ์: ไอติม พริษฐ์ กับประชาธิปไตยที่ไม่มีวันละลาย โดย ฆฤณ ถนอมกิตติ, a day)

โตมร ศุขปรีชา
นักคิด นักเขียน นักแปล บรรณาธิการ“โจทย์ของประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องว่าใครถูก ใครผิด แต่มันอยู่ที่จะบริหารจัดการความหลากหลายอย่างไร ในเบื้องต้นก็คือการที่สังคมเดินไปด้วยเสียงข้างมาก แล้วพร้อมกันนั้นก็มีการดูแลรักษาสิทธิของเสียงข้างน้อย แต่ถ้าตอนนี้เรายังไปถึงขั้นอุดมคติปรัชญาไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องไม่เป็นผู้ผูกขาดความถูกต้อง...”
(บทความ: มองการเมืองให้เห็น ‘คน’ จากจุดนอนของ ‘โตมร ศุขปรีชา’ โดย ทีมงาน V-Reform, THAIPUBLICA)

ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
นักวิชาการ นักเขียน รองศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต“ส่วนตัวผมเข้าใจเด็กทุกวันนี้นะ ว่าถ้าเขาไม่เอาสถาบันกษัตริย์แล้ว เขาก็มีสิทธิที่จะพูด ตามหลักการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั่วไป เพราะเรายังอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยอยู่นะ ดังนั้นผมพูดได้ว่าถ้าเป็นประชาธิปไตยจริง มันผิดเหรอกับการที่คนรุ่นใหม่เห็นว่า Constitutional Monarchy ซึ่งเราอ้างว่ามีตั้งแต่ 2475 ที่ผ่านมาไม่เวิร์กเลย ทำไมพวกเขาจะไม่มีสิทธิคิดว่างั้นเราหาตัวเลือกอื่นไหม ในเมื่อระบบปัจจุบันมันล้มเหลว ทำไมคุณถึงคิดว่าเขาทำสิ่งผิดกฎหมาย ในเมื่อมันก็เป็นอนาคตของเขา ถ้าเด็กรุ่นใหม่ต้องการถกเถียงเรื่องการเป็นสาธารณรัฐ เราเป็นประชาธิปไตยก็พูดได้ทุกเรื่องนี่”
(บทสัมภาษณ์: ‘ฉันนี่แหละรอยัลลิสต์ตัวจริง’ ความหวังดีจาก ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงสถาบันกษัตริย์ไทย ในยุคสมัยการเมืองไร้เพดาน โดย ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์, The 101.World)

พุทธทาสภิกขุ
พระสงฆ์ นักคิด นักเขียน“ประชาธิปไตย ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเป็นใหญ่นั้นมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ประชาชนเห็นแก่ตัวก็ได้ โดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้ว ฉิบหายหมด”
(บทความ: ‘ธัมมิกประชาธิปไตย’ ของพุทธทาส โดย สุรพศ ทวีศักดิ์, ประชาไท)
ข้างต้นคือคำนิยามถึง ‘ประชาธิปไตย’ บางส่วน ท่ามกลางคำนิยามนับหมื่นพัน ใครที่อยากรู้นิยามเกี่ยวกับประชาธิปไตยมากกว่านี้ สามารถเสิร์จหาเพิ่มเติมได้ในโลกอินเทอร์เน็ต
แล้วคุณจะพบว่านิยามประชาธิปไตยนั้นผูกติดอยู่กับความเชื่อและจุดยืนของตัวบุคคลที่ให้คำนิยาม
ลองสืบค้น อ่าน คิด ถกเถียงกับตัวเองก่อนจะปักใจเชื่อในนิยามของใครคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะคำพูดที่ออกมาจาก ‘นักหาเสียง’ ในฤดูเลือกตั้ง
อย่าให้ใครมาล่วงล้ำอธิปไตยทางความคิดของคุณ ในการนิยาม ‘ประชาธิปไตย’ แบบที่คุณเชื่อ
ขอให้ 14 พฤษภาคมนี้ ทุกคนเข้าคูหา กาเลือกพรรคและคนที่ใช่ ในแบบที่คุณเชื่ออย่างแท้จริง
