การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 มีพรรคการเมืองเข้าร่วมการชิงเก้าอี้ในสภาถึง 67 พรรค ในจำนวนนี้มีแค่ไม่กี่พรรคที่ถูกเอ่ยถึง และในการทำ Social Listening ทีมงาน SPACEBAR ก็ยังคัดรายชื่อพรรคมาจับตาความเคลื่อนไหวเพียงแค่ 9 พรรค ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาล หรืออย่างน้อยก็เป็นพรรคที่มีนักการเมืองตัวเก๋า ที่เราจะคลาดสายตาจากพวกเขาไปไม่ได้
ในบรรดา 9 พรรค เราได้วิเคราะห์พวกเขาไปบ้างแล้ว และตอนนี้ยังมีพรรครองๆ ที่ควรเอ่ยถึงอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในบทวิเคราะห์นี้ เราจะมาดู ‘ความสนใจ’ ของโซเชียลมีเดียที่มีต่อ 2 พรรคที่ถือเป็น ‘เครือญาติทางการเมือง’ กันก็ว่าได้ นั่นคือ ‘ชาติพัฒนากล้า’ กับ ‘ชาติไทยพัฒนา’
ในบรรดา 9 พรรค เราได้วิเคราะห์พวกเขาไปบ้างแล้ว และตอนนี้ยังมีพรรครองๆ ที่ควรเอ่ยถึงอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในบทวิเคราะห์นี้ เราจะมาดู ‘ความสนใจ’ ของโซเชียลมีเดียที่มีต่อ 2 พรรคที่ถือเป็น ‘เครือญาติทางการเมือง’ กันก็ว่าได้ นั่นคือ ‘ชาติพัฒนากล้า’ กับ ‘ชาติไทยพัฒนา’

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับพรรคตระกูล ‘ชาติ-พัฒนา’
สมาชิกหลักที่ก่อตั้งพรรค ‘ชาติไทยพัฒนา’ กับ ‘ชาติพัฒนากล้า’ เคยเป็นแกนนำหรือผู้ร่วมก่อตั้งพรรคชาติไทยเส้นทางชาติพัฒนากล้า
- ชาติพัฒนาแตกตัวออกมาก่อน หลังจาก พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ถูกทำรัฐประหาร
- หัวหน้าพรรคคนแรกของชาติพัฒนา คือ พล.อ. ชาติชาย สมาชิกสำคัญล้วนมาจากพรรคชาติไทย และเป็นเครือญาติการกับ พล.อ. ชาติชาย เช่น สุวัจน์ ลิปตพัลลภ และ กร ทัพพะรังสี
- ต่อมา กร เข้าร่วมพรรคไทยรักไทยในรัฐบาลทักษิณ ทิ้งให้ สุวัจน์ เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา แต่ต่อมา สุวัจน์ เข้าร่วมเช่นกัน และยุบชาติพัฒนาเข้ากับไทยรักไทย
- สุวัจน์ กลับมาร่วมก่อตั้งชาติพัฒนาขึ้นขึ้นมาใหม่ แต่ยังใช้ชื่อเดิมไม่ได้ จึงตั้งชื่อพรรคใหม่ว่า ‘รวมใจไทยชาติพัฒนา’ ในปี 2550
- นับตั้งแต่ 2550 เป็นต้นมา พรรคนี้เข้าร่วมรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
- ต่อมาปี 2554 เปลี่ยนชื่อพรรคเป็น ‘ชาติพัฒนา’ อีกครั้ง ร่วมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2562 ร่วมรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
- ในปี 2565 กรณ์ จาติกวณิช จากพรรคกล้าและสมาชิกส่วนหนึ่ง มาเข้าร่วมกับชาติพัฒนา และเปลี่ยนชื่อพรรคเป็น พรรคชาติพัฒนากล้า มี สุวัจน์ เป็นประธานพรรค กรณ์ หัวหน้าพรรค

เส้นทางชาติไทยพัฒนา
- พรรคชาติไทยหลัง ‘น้าชาติ’ จากไป ต่อมา บรรหาร ศิลปอาชา เป็นหัวหน้าพรรค ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยหนึ่ง และสานต่อการร่างรัฐธรรมปี 2540 หรือ ‘รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน’ จนสำเร็จ
- หลังการเลือกตั้ง 2544 พรรคชาติไทยเข้าร่วมเป็นรัฐบาลทักษิณ 1 ต่อมาเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลทักษิณ 2
- ต่อมา พรรคชาติไทยเข้าร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แล้วถูกยุบพรรคพร้อม พรรคพลังประชาชน, พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ในปี 2551
- หลังชาติไทยถูกยุบพรรค สมาชิกที่เหลือมาตั้งพรรคใหม่ในชื่อ ‘ชาติไทยพัฒนา’ แม้ว่า บรรหาร จะถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี แต่คนใน ‘ตระกูลศิลปะอาชา’ ยังกุมอำนาจในชาติไทยพัฒนาต่อไป
- นับตั้งแต่ตั้งพรรคจนถึงปัจจุบัน คนในบ้านศิลปอาชาที่เป็นหัวหน้าพรรคนี่คือ ชุมพล ศิลปอาชา (น้องชายบรรหาร), กัญจนา ศิลปอาชา (ลูกสาวบรรหาร) และวราวุธ ศิลปอาชา (ลูกชายบรรหาร)
- นับตั้งแต่ตั้งพรรค ชาติไทยพัฒนาได้ร่วมรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

พรรครองไม่ได้แปลว่าไม่อยู่ในสายตา
จากการทำ Social Listening โดย SPACEBAR เราพบว่าการถูกเอ่ยถึง (Mentions) ของ ‘ชาติพัฒนากล้า’ กับ ‘ชาติไทยพัฒนา’ มีไม่สูงนักเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระดับตัวท็อป และแนวโน้มก็น่าจะเป็นแบบนี้ โดยพิจารณาจากอัตราการถูกเอ่ยถึงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายน 2566 ซึ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก (ดู Infographic 1 และ 2 ด้านบน)แต่การพิจารณาจากการถูกเอ่ยถึง (Mentions) ในโซเชียลมีเดีย ไม่ได้หมายความว่าการถูกเอ่ยถึงมากสะท้อนถึงความนิยมที่มากกว่า แต่มันมีตัวแปรบางอย่างที่จะต้องพิจารณาด้วย เช่น
- ผู้ใช้โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ เป็นกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ส่วน Gen X มีอัตราใช้น้อยกว่า แต่เป็นกลุ่มที่มีสิทธิออกเสียงมากที่สุด
- ฐานเสียงของพรรค ‘ชาติไทยพัฒนา’ กับ ‘ชาติพัฒนากล้า’ อยู่ในต่างจังหวัด คือ สุพรรณบุรีและนครราชสีมา ตามลำดับ

สองพรรครองที่อิทธิพลไม่เป็นรอง
จากเส้นทางของพรรตคทั้งสองที่เราสรุปมาให้ดู จะเห็นเบื้องหลังเปี่ยมด้วยอิทธิพลทางการเมืองมายาวนานและทักษะการต่อรองที่แข็งแกร่งจนทำให้ทั้ง 2 พรรคสามารถเข้าร่วมรัฐบาลชุดต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลในค่ายทหาร (อภิสิทธิ์) รัฐบาลนอมินีทักษิณ (สมัครและสมชาย) รัฐบาลเสื้อแดง (ยิ่งลักษณ์) และรัฐบาลสายทหาร (ประยุทธ์) สะท้อนถึงความยืดหยุ่นของชาติไทยพัฒนาและชาติพัฒนากล้าได้เป็นอย่างดีสิ่งที่จะทำให้ทั้ง 2 พรรครองยังคงมีความสำคัญ (Political Relevance) ต่อไป ขึ้นอยู่กับว่าจะมีพรรคใหญ่พรรคไหนทำแลนด์สไลด์ (Landslide victory) ซึ่งหมายถึงการได้เสียงข้างมากในสภาโดยไม่ต้องพึ่งพรรคอื่นในการฟอร์มรัฐบาลหรือไม่?
แต่ถ้าไม่มีพรรคไหนได้เสียงข้างมากในสภา และพรรคใหญ่ยังมีคะแนนเสียงไหล่เลี่ยกัน เมื่อนั้น พรรครองๆ ในตระกูล ‘ชาติ-พัฒนา’ จะมี Political Relevance อย่างยิ่งยวดแน่นอน
หากเกิดสถานการณ์อย่างหลังขึ้น เราจะกลับมาดูกระแสในโซเชียลและวิเคราะห์บทบาทของพรรคในตระกูล ‘ชาติ-พัฒนา’ กันอีกครั้ง
ถ้าวันแห่งการจับพรรคเล็กฟอร์มรัฐบาลเกิดขึ้นจริง ยังมีเรื่องอีกมากมายของ ‘ชาติพัฒนากล้า’ กับ ‘ชาติไทยพัฒนา’ ที่เราควรจะพูดถึงในฐานะตัวเปลี่ยนเกมส์ในรัฐบาลที่ผ่านมาๆ