









กลุ่ม 8 องค์กรสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย นำโดย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.), สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน, มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา, คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.), ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตย (YPD), สถาบันสังคมประชาธิปไตย และคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 เดินขบวนจากอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ยื่นจดหมายปิดถนึกถึงประธานศาลฎีกา เพื่อขอให้ประธานศาลฎีกาเร่งดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขคำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราว การกำหนดหลักประกันและเงื่อนไข การถอนประกันตัว นักกิจกรรมทางการเมืองอย่างเร่งด่วน โดยมีผู้ร่วมกิจกรรม สมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย นำเดินขบวน
ทั้งนี้ เนื่องจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ส่งจดหมายปิดผนึกเรียนประธานศาลฎีกาไปเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อห่วงกังวลเรื่องความเป็นอิสระของผู้พิพากษา และการใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว ยกเลิกคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว ให้ปล่อยตัวชั่วคราว และอนุญาตให้ผู้ต้องหา/จำเลยยกเลิกการปล่อยตัวชั่วคราว โดยเฉพาะกรณีของตะวันและแบม จนบัดนี้มูลนิธิฯ ยังไม่ได้รับคำตอบหรือการติดต่อกลับ ไปจนถึงการตอบสนองต่อข้อเสนอแต่อย่างใด จึงเดินขบวนไปทวงถามข้อเรียกร้อง
นอกจากนี้ ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข ผู้จัดการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นตัวแทนอ่านข้อเรียกร้องว่า “ตลอดระยะเวลาของการใช้สรีภาพในการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมากต้องตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลยในกระบวนการยุติธรรมอันเนื่องมาจากความเห็นต่างทางการเมือง อาจกล่าวได้ว่า เป็นกลไกเพื่อสนองนโยบายรัฐในการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การปล่อยตัวชั่วคราว ถูกใช้เป็นกลไกสำคัญในการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ผ่านการไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ห้ามไปกระทำการในลักษณะเดียวกันกับคดีเดิมอีก การกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถานในบางช่วงเวลาร่วมกับการใส่กำไล EM การอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยให้ใส่กำไลติดตามตัว (EM) ร่วมกับคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถานตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวที่เข้มงวดกว่าอาชญากรที่ก่ออาชญากรรม และการมีคำสั่งถอนประกันได้โดยง่ายเหล่านี้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการ ถูกปฏิบัติโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และไร้ซึ่งมนุษยธรรม
ทั้งนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามในการเข้ามามีบทบาทรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเสียเอง ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง เพราะมีองค์กรอื่นทำหน้าที่อยู่แล้ว กระบวนการยุติธรรมมีหน้าที่รักษาและดำรงความยุติธรรมในสังคมอย่างเป็นอิสระ โดยอาศัยหลักกฎหมายเพื่อเป็นหลักประกันว่าประชาชนทุกคนจะได้รับความยุติธรรมแม้จะมีข้อพิพาทกับรัฐ หรือเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐก็ตาม
แต่ปรากฏว่ากรณีที่ไม่ใช่คดีการเมือง เช่นกรณีของ พ.ต.อ.หญิงวัทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ จำเลยที่ 8 ภรรยานายตู้ห่าวชาวจีน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานว่ามีพฤติการณ์ข่มขู่พยาน เป็นการผิดเงื่อนไขการประกันของศาลฯ แต่กลับไม่ถอนประกัน โดยอ้างว่ามีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวไปแล้ว แต่พนักงานสอบสวนมายื่นเอกสารแบบกระชั้นชิด ทำให้การยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการประกันตัว พ.ต.อ.หญิงวัทนารีย์ จึงเป็นเพียงคำร้องที่ประกอบการพิจารณา กรณีที่แตกต่างกันดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความลักลั่นและปัญหาการปล่อยชั่วคราวสำหรับผู้ต้องหาและจำเลยในคดีการเมือง
การถูกปฏิบัติโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และไร้ซึ่งมนุษยธรรมโดยกระบวนการกล่าว นำมาสู่การอดอาหารและน้ำของตะวันและแบมเพื่อทวงถามหาความยุติธรรม และเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม จนร่างกายของทั้งสองเข้าขั้นวิกฤตและสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตอย่างมาก
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะพิจารณาทบทวนบทบาทในการใช้ดุลยพินิจในการปล่อยชั่วคราวให้เป็นไปตามหลักกฎหมาย คำนึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และคำนึงถึงอุดมการณ์ของผู้พิพากษาตามประมวลจริยธรรม ในการประสาทความยุติธรรมให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน อย่างไม่เลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากความคิดเห็นทางการเมือง ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้ง พิจารณาอรรถคดีไปในทางส่งเสริมความเป็นมนุษย์ให้ดำรงอยู่ พัฒนาและงอกงามขึ้นในสังคม ไม่ใช่พรากศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไปจากประชาชน หรือกดความเป็นคนให้ต่ำลงเพื่อให้ยอมจำนนต่ออำนาจที่ไม่เป็นธรรม
จากนั้น ธนากร พรวชิราภา หัวหน้าส่วนกฎหมายและระเบียบ สำนักงานประธานศาลฎีกา ในฐานะตัวแทนประธานศาลฎีกา เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ
ทั้งนี้ เนื่องจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ส่งจดหมายปิดผนึกเรียนประธานศาลฎีกาไปเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อห่วงกังวลเรื่องความเป็นอิสระของผู้พิพากษา และการใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว ยกเลิกคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว ให้ปล่อยตัวชั่วคราว และอนุญาตให้ผู้ต้องหา/จำเลยยกเลิกการปล่อยตัวชั่วคราว โดยเฉพาะกรณีของตะวันและแบม จนบัดนี้มูลนิธิฯ ยังไม่ได้รับคำตอบหรือการติดต่อกลับ ไปจนถึงการตอบสนองต่อข้อเสนอแต่อย่างใด จึงเดินขบวนไปทวงถามข้อเรียกร้อง
นอกจากนี้ ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข ผู้จัดการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นตัวแทนอ่านข้อเรียกร้องว่า “ตลอดระยะเวลาของการใช้สรีภาพในการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมากต้องตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลยในกระบวนการยุติธรรมอันเนื่องมาจากความเห็นต่างทางการเมือง อาจกล่าวได้ว่า เป็นกลไกเพื่อสนองนโยบายรัฐในการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การปล่อยตัวชั่วคราว ถูกใช้เป็นกลไกสำคัญในการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ผ่านการไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ห้ามไปกระทำการในลักษณะเดียวกันกับคดีเดิมอีก การกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถานในบางช่วงเวลาร่วมกับการใส่กำไล EM การอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยให้ใส่กำไลติดตามตัว (EM) ร่วมกับคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถานตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวที่เข้มงวดกว่าอาชญากรที่ก่ออาชญากรรม และการมีคำสั่งถอนประกันได้โดยง่ายเหล่านี้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการ ถูกปฏิบัติโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และไร้ซึ่งมนุษยธรรม
ทั้งนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามในการเข้ามามีบทบาทรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเสียเอง ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง เพราะมีองค์กรอื่นทำหน้าที่อยู่แล้ว กระบวนการยุติธรรมมีหน้าที่รักษาและดำรงความยุติธรรมในสังคมอย่างเป็นอิสระ โดยอาศัยหลักกฎหมายเพื่อเป็นหลักประกันว่าประชาชนทุกคนจะได้รับความยุติธรรมแม้จะมีข้อพิพาทกับรัฐ หรือเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐก็ตาม
แต่ปรากฏว่ากรณีที่ไม่ใช่คดีการเมือง เช่นกรณีของ พ.ต.อ.หญิงวัทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ จำเลยที่ 8 ภรรยานายตู้ห่าวชาวจีน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานว่ามีพฤติการณ์ข่มขู่พยาน เป็นการผิดเงื่อนไขการประกันของศาลฯ แต่กลับไม่ถอนประกัน โดยอ้างว่ามีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวไปแล้ว แต่พนักงานสอบสวนมายื่นเอกสารแบบกระชั้นชิด ทำให้การยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการประกันตัว พ.ต.อ.หญิงวัทนารีย์ จึงเป็นเพียงคำร้องที่ประกอบการพิจารณา กรณีที่แตกต่างกันดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความลักลั่นและปัญหาการปล่อยชั่วคราวสำหรับผู้ต้องหาและจำเลยในคดีการเมือง
การถูกปฏิบัติโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และไร้ซึ่งมนุษยธรรมโดยกระบวนการกล่าว นำมาสู่การอดอาหารและน้ำของตะวันและแบมเพื่อทวงถามหาความยุติธรรม และเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม จนร่างกายของทั้งสองเข้าขั้นวิกฤตและสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตอย่างมาก
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะพิจารณาทบทวนบทบาทในการใช้ดุลยพินิจในการปล่อยชั่วคราวให้เป็นไปตามหลักกฎหมาย คำนึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และคำนึงถึงอุดมการณ์ของผู้พิพากษาตามประมวลจริยธรรม ในการประสาทความยุติธรรมให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน อย่างไม่เลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากความคิดเห็นทางการเมือง ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้ง พิจารณาอรรถคดีไปในทางส่งเสริมความเป็นมนุษย์ให้ดำรงอยู่ พัฒนาและงอกงามขึ้นในสังคม ไม่ใช่พรากศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไปจากประชาชน หรือกดความเป็นคนให้ต่ำลงเพื่อให้ยอมจำนนต่ออำนาจที่ไม่เป็นธรรม
จากนั้น ธนากร พรวชิราภา หัวหน้าส่วนกฎหมายและระเบียบ สำนักงานประธานศาลฎีกา ในฐานะตัวแทนประธานศาลฎีกา เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ