ผ่านมา 16 ปี เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นำโดย ‘บิ๊กบัง’ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ.ที่เป็นหัวหน้า คมช. ทำการยึดอำนาจ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯ การต่อสู้ระหว่าง ‘ขั้วทักษิณ’ กับ ‘ขั้วอำมาตย์’ ขับเคี่ยวมาตลอด 16 ปีที่ผ่านมา แม้ ‘ทักษิณ’ จะไม่ได้อยู่ในประเทศแล้วก็ตาม แต่ ‘เครือข่ายการเมือง’ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ยังคงอยู่ ผ่าน ‘พรรคพลังประชาชน-เพื่อไทย’ ผ่านตัวละคร ‘3 นายกฯ’ ทั้ง สมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เปรียบเป็น ‘ไพ่เหนือชั้น’ ของ ‘ทักษิณ’ ดันน้องสาวเป็น นายกฯ หญิงคนแรก ปลุกกระแส ‘นารีขี่ม้าขาว’ ยิ่งตอกย้ำ รัฐประหาร 2549 ว่า ‘เสียของ’
แม้แต่ ‘บิ๊กบัง’ ยังต้องมาลงสู่สนามการเมือง ‘พรรคมาตุภูมิ’ แต่ก็ไปไม่ถึงฝัน แม้ ‘บิ๊กบัง’ จะได้เป็น ส.ส.เข้าสภา แต่ก็เต็มไปด้วยบาดแผล ก่อนทิ้ง ‘วาจาอมตะ’ หลังถูก ‘เสธ.หนั่น’ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ตั้งคำถามกลางวง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 21 มีนาคม 2555 ว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549
“คำถามบางประการ ตายแล้วก็ตอบไม่ได้ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องเมื่อถึงเวลาจะปรากฏขึ้นมาเอง” พล.อ.สนธิ กล่าว 21 มี.ค. 2555
จนถึงวันนี้ยังคงเป็น ‘ปริศนา’ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำคือ ‘รัฐประหาร’ 22 พฤษภาคม 2557 นำโดย ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้า คสช. ที่ขึ้นเป็นนายกฯ ครองอำนาจยาวถึง 8 ปี ผ่านช่วง ‘รอยต่อ’ ในการเลือกตั้ง โดยตั้งพรรคทหาร ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ขึ้นมา เป็นยุคที่ ‘แผงอำนาจ 3ป.’ ขึ้นมามีอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยมี ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นศูนย์กลางอำนาจ จนได้ชื่อว่าเป็น ‘พี่ใหญ่แห่งยุค’
บทเรียน ‘เสียของ’ ในอดีตทำให้ คสช.ไม่รีบ ‘คืนอำนาจ’ เฉกเช่นคณะรัฐประหารในอดีต แต่ใช้วิธี ‘ผ่องถ่าย’ แทน เพื่อวาง ‘สมดุลอำนาจ’ ในแต่ละช่วงเวลา แต่ที่เป็น ‘หนังม้วนเดิม’ คือการต่อสู้ระหว่าง ‘ขั้วอำมาตย์’ กับ ‘ขั้วทักษิณ’ ซึ่งในปัจจุบัน ‘ทักษิณ’ ได้ชูลูกสาว ‘อุ๊งอิ๊ง’แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมานำทัพพรรคเพื่อไทย ที่ยังเชื่อเรื่อง ‘เลือดข้นกว่าน้ำ’ เพื่อสร้าง ‘ทายาทการเมือง’ ในการ ‘ส่งไม้ต่อ’ เพื่อวางรากฐานให้คนรุ่นหลังในบ้าน
การปรากฏตัวของ ‘คุณหญิงอ้อ’ พจมาน ดามาพงศ์ ที่ จ.เชียงใหม่ ประกบข้าง ‘อุ๊งอิ๊ง’ เท่ากับเป็นตราประทับว่า ‘นายใหญ่-เจ๊ใหญ่’ เลือกแล้วว่าเอา ‘ลูกสาว’ ขึ้นเป็น แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย เพื่อสยบ ‘คลื่นใต้น้ำ’ กลุ่มที่คิดงัดข้อภายในพรรค
ทั้งนี้ช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการ ‘ปล่อยข่าว’ ในแวดวงนักการเมืองในขั้วพรรคเพื่อไทย ถึงแคนดิเดตนายกฯ ที่พูดถึงชื่อ ‘เสี่ยนิด’ เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กบอสแสนสิริ ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นชื่อที่เคยถูกพูดถึงมาก่อนหน้านี้ โดย ‘เศรษฐา’ เป็นคนใกล้ชิด ‘ยิ่งลักษณ์’ ซึ่งที่ผ่านมา ‘เสี่ยนิด-เศรษฐา’ ก็มักแสดงท่าทีในเรื่องการเมือง การนำเสนอไอเดียเศรษฐกิจต่างๆ ผ่านทวิตเตอร์ ซึ่ง ‘ผิดวิสัย’ นักธุรกิจใหญ่ที่มักไม่พูดเรื่องการเมือง และที่ผ่านมา ‘เศรษฐา’ ก็เคยรีทวีตชื่นชมพรรคเพื่อไทยด้วย
กระแสชื่อ ‘เศรษฐา’ ไม่ได้มาแบบ ‘ข่าวโคมลอย’ เท่านั้น แต่ถูกปลุกผ่าน ‘ขั้วข่ายขั้วพรรคเพื่อไทย’ ผ่านการ ‘ชงชื่อ’ ขึ้นมา เพื่อ ‘หยั่งเชิง-ปลุกกระแส’ ในโอกาสต่างๆ ชนิดที่มาแบบ ‘ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย’ เช่น ในการจัดงานครบ 2 ปี กลุ่มแคร์ มีการมอบรางวัล 10 คนเคลื่อนไทย ซึ่งมีชื่อ ‘เศรษฐา’ ด้วย โดยประธานงานคือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ โดย ‘ทักษิณ’ ได้ปรากฏตัวผ่านคลิปภายในงาน เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์วัดพลังระหว่าง 2 บ้าน คือขั้ว ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ ตัวแทนของ ‘คุณหญิงอ้อ’ กับขั้ว ‘บ้านแจ้งวัฒนะ’ ภาพตัวแทน ‘เจ๊แดง’ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กับ ‘ยิ่งลักษณ์’ ที่เปรียบเป็น ‘ศึกสายน้ำผึ้ง’ ที่ดูหวาน แต่เต็มไปด้วยการวัดพลังกันเองของทั้ง 2 บ้าน ที่เปรียบเป็น ‘สงครามตัวแทน’ สะท้อนผ่าน ‘อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา’ เพราะหากบ้านไหนชนะ ทิศทางอำนาจก็จะไปทางนั้น
ซึ่งในเวลานี้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยังมีแต้มเหนือกว่า เพราะถ้า ‘พ่อ-แม่’ ไม่ให้ ‘ลูก’ แล้วจะไปให้ใคร เปรียบเป็น ‘สงครามครั้งสุดท้าย’ ของ ‘ทักษิณ’ ที่แพ้ไม่ได้ ที่ต้องสู้กับ ‘ขั้วอำมาตย์’ และการจัดระเบียบภายใน ‘ตระกูลชินวัตร’ เองด้วย
ศึกสายเลือด ยิ่งกว่าศึกใดๆ!
แม้แต่ ‘บิ๊กบัง’ ยังต้องมาลงสู่สนามการเมือง ‘พรรคมาตุภูมิ’ แต่ก็ไปไม่ถึงฝัน แม้ ‘บิ๊กบัง’ จะได้เป็น ส.ส.เข้าสภา แต่ก็เต็มไปด้วยบาดแผล ก่อนทิ้ง ‘วาจาอมตะ’ หลังถูก ‘เสธ.หนั่น’ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ตั้งคำถามกลางวง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 21 มีนาคม 2555 ว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549
“คำถามบางประการ ตายแล้วก็ตอบไม่ได้ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องเมื่อถึงเวลาจะปรากฏขึ้นมาเอง” พล.อ.สนธิ กล่าว 21 มี.ค. 2555
จนถึงวันนี้ยังคงเป็น ‘ปริศนา’ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำคือ ‘รัฐประหาร’ 22 พฤษภาคม 2557 นำโดย ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้า คสช. ที่ขึ้นเป็นนายกฯ ครองอำนาจยาวถึง 8 ปี ผ่านช่วง ‘รอยต่อ’ ในการเลือกตั้ง โดยตั้งพรรคทหาร ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ขึ้นมา เป็นยุคที่ ‘แผงอำนาจ 3ป.’ ขึ้นมามีอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยมี ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นศูนย์กลางอำนาจ จนได้ชื่อว่าเป็น ‘พี่ใหญ่แห่งยุค’
บทเรียน ‘เสียของ’ ในอดีตทำให้ คสช.ไม่รีบ ‘คืนอำนาจ’ เฉกเช่นคณะรัฐประหารในอดีต แต่ใช้วิธี ‘ผ่องถ่าย’ แทน เพื่อวาง ‘สมดุลอำนาจ’ ในแต่ละช่วงเวลา แต่ที่เป็น ‘หนังม้วนเดิม’ คือการต่อสู้ระหว่าง ‘ขั้วอำมาตย์’ กับ ‘ขั้วทักษิณ’ ซึ่งในปัจจุบัน ‘ทักษิณ’ ได้ชูลูกสาว ‘อุ๊งอิ๊ง’แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมานำทัพพรรคเพื่อไทย ที่ยังเชื่อเรื่อง ‘เลือดข้นกว่าน้ำ’ เพื่อสร้าง ‘ทายาทการเมือง’ ในการ ‘ส่งไม้ต่อ’ เพื่อวางรากฐานให้คนรุ่นหลังในบ้าน
การปรากฏตัวของ ‘คุณหญิงอ้อ’ พจมาน ดามาพงศ์ ที่ จ.เชียงใหม่ ประกบข้าง ‘อุ๊งอิ๊ง’ เท่ากับเป็นตราประทับว่า ‘นายใหญ่-เจ๊ใหญ่’ เลือกแล้วว่าเอา ‘ลูกสาว’ ขึ้นเป็น แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย เพื่อสยบ ‘คลื่นใต้น้ำ’ กลุ่มที่คิดงัดข้อภายในพรรค
ทั้งนี้ช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการ ‘ปล่อยข่าว’ ในแวดวงนักการเมืองในขั้วพรรคเพื่อไทย ถึงแคนดิเดตนายกฯ ที่พูดถึงชื่อ ‘เสี่ยนิด’ เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กบอสแสนสิริ ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นชื่อที่เคยถูกพูดถึงมาก่อนหน้านี้ โดย ‘เศรษฐา’ เป็นคนใกล้ชิด ‘ยิ่งลักษณ์’ ซึ่งที่ผ่านมา ‘เสี่ยนิด-เศรษฐา’ ก็มักแสดงท่าทีในเรื่องการเมือง การนำเสนอไอเดียเศรษฐกิจต่างๆ ผ่านทวิตเตอร์ ซึ่ง ‘ผิดวิสัย’ นักธุรกิจใหญ่ที่มักไม่พูดเรื่องการเมือง และที่ผ่านมา ‘เศรษฐา’ ก็เคยรีทวีตชื่นชมพรรคเพื่อไทยด้วย
กระแสชื่อ ‘เศรษฐา’ ไม่ได้มาแบบ ‘ข่าวโคมลอย’ เท่านั้น แต่ถูกปลุกผ่าน ‘ขั้วข่ายขั้วพรรคเพื่อไทย’ ผ่านการ ‘ชงชื่อ’ ขึ้นมา เพื่อ ‘หยั่งเชิง-ปลุกกระแส’ ในโอกาสต่างๆ ชนิดที่มาแบบ ‘ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย’ เช่น ในการจัดงานครบ 2 ปี กลุ่มแคร์ มีการมอบรางวัล 10 คนเคลื่อนไทย ซึ่งมีชื่อ ‘เศรษฐา’ ด้วย โดยประธานงานคือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ โดย ‘ทักษิณ’ ได้ปรากฏตัวผ่านคลิปภายในงาน เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์วัดพลังระหว่าง 2 บ้าน คือขั้ว ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ ตัวแทนของ ‘คุณหญิงอ้อ’ กับขั้ว ‘บ้านแจ้งวัฒนะ’ ภาพตัวแทน ‘เจ๊แดง’ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กับ ‘ยิ่งลักษณ์’ ที่เปรียบเป็น ‘ศึกสายน้ำผึ้ง’ ที่ดูหวาน แต่เต็มไปด้วยการวัดพลังกันเองของทั้ง 2 บ้าน ที่เปรียบเป็น ‘สงครามตัวแทน’ สะท้อนผ่าน ‘อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา’ เพราะหากบ้านไหนชนะ ทิศทางอำนาจก็จะไปทางนั้น
ซึ่งในเวลานี้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยังมีแต้มเหนือกว่า เพราะถ้า ‘พ่อ-แม่’ ไม่ให้ ‘ลูก’ แล้วจะไปให้ใคร เปรียบเป็น ‘สงครามครั้งสุดท้าย’ ของ ‘ทักษิณ’ ที่แพ้ไม่ได้ ที่ต้องสู้กับ ‘ขั้วอำมาตย์’ และการจัดระเบียบภายใน ‘ตระกูลชินวัตร’ เองด้วย
ศึกสายเลือด ยิ่งกว่าศึกใดๆ!