ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ความเคลื่อนไหวของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯ ก็ยิ่งรุกคืบมากขึ้น ไม่มีเหนียมอีกต่อไป ตั้งแต่ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาคุมพรรค ในฐานะ ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ ถูกมองว่าเป็นการ ‘หนามยอกเอาหนามบ่ง’ เพราะพรรคเพื่อไทยถูกมองเป็น ‘กงสีชินวัตร-พรรคครอบครัว’ มาตลอด รวมทั้งการ ‘เล่นกับกระแส’ ในการพูดถึงชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ทั้งชื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง’ และ ‘เสี่ยนิด’ เศรษฐา ทวีสิน ที่สมัครมมาชิกพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ย่านเยาวราชกับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เปิดตัวเรียบร้อย
ล่าสุดมีการโยนชื่อ ‘นายกฯ ส.เสือ’ ที่ประสานได้กับทุกฝ่าย จะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย นั่นคือ ‘สุรเกียรติ์ เสถียรไทย’ อดีตรองนายกฯ อดีต รมต.การต่างประเทศ ในยุครัฐบาลทักษิณ พรรคไทยรักไทย เป็นทั้งนักกฎหมาย-นักการทูต เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรในประเทศไทย รวมทั้งเคยมีชื่อเป็นแคนดิเดตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แต่สุดท้ายที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้เลือก ‘บัน คี มูน’ รมต.ต่างประเทศ เกาหลีใต้ ในขณะนั้น เป็น เลขาธิการยูเอ็น ทำให้ ‘สุรเกียรติ์’ ต้องถอนตัวตามประเพณี
ภายหลังชื่อ ‘สุรเกียรติ์’ ถูกปล่อยออกมาแล้วนั้น ‘อุ๊งอิ๊ง’ ระบุว่า “ไม่ใช่ และไม่ได้มีการพูดคุยด้วย โดยขณะนี้เขาไม่ได้มีการเข้ามาพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยเลย” คำตอบของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ก็ไม่ปิดประตูชื่อนี้เช่นกัน
หากดูชื่อ ‘สุรเกียรติ์’ เป็นชื่อที่น่าสนใจ เป็นชื่อที่ประสาน ‘อีลีทไทย’ ได้ ที่จะมาอุดช่องโหว่สิ่งที่เป็น ‘จุดอ่อน’ ของ ‘ทักษิณ’ ที่เคยยอมรับว่าไม่เข้าใจวิธีคิด-กลเกม ‘อีลีทไทย’ ซึ่งจุดนี้ทำให้ ‘ทักษิณ’ ต้อง ‘สะดุดขาตัวเอง’ หลายครั้ง นำมาสู่การที่ ‘ขั้วทักษิณ’ ต้องสูญเสียอำนาจถึง 2 ครั้ง แน่นอนว่าเกมนี้ ‘ส.สุรเกียรติ์’ ก็ต้องคิดหนัก เพราะมี ‘บทเรียน’ ในอดีตให้เห็น กับชะตากรรมคนที่มาเป็น ‘นายกฯ’ ให้กับ ‘ขั้วทักษิณ’ ที่จบไม่สวยสักคน อีกทั้งก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวถึงชื่อ ‘สันติธาร เสถียรไทย’ ลูกชายของ ‘สุรเกียรติ์’ จะมาเป็นแคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้นจริง
พร้อมกับกระแสข่าวที่ไม่เคยสยบลงได้ สูตร ‘ดีลข้ามขั้ว’ ระหว่าง ‘เพื่อไทย-พลังประชารัฐ’ ในการจัดตั้งรัฐบาล แม้ว่า ‘ทักษิณ’ จะยืนยันว่า ไม่มีเกี้ยเซียะ พปชร. ไม่ต้องออกกฎหมายช่วย ในฝั่ง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ระบุว่า ไม่มีคุยกัน แต่ทั้งหมดนี้ก็สะท้อนท่าที ‘แทงกั๊ก’ ของฝั่งเพื่อไทย ที่ไม่ชัดเจนเท่าฝั่ง ‘พรรคก้าวไกล’ ที่ประกาศชัดไม่ร่วมงานกับ ‘พลังประชารัฐ’ แน่นอน ส่วน ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หน.พลังประชารัฐ ก็ไม่ปิดประตูจับมือกับ ‘พรรคเพื่อไทย’ รีแบรนด์ พปชร. เป็น ‘พรรคไร้ขั้ว’ ไร้ความขัดแย้ง
ด้วยสายสัมพันธ์ ‘บ้านป่ารอยต่อ-บ้านจันทร์ส่องหล้า’ ระหว่าง ‘บิ๊กป้อม’ กับ ‘คุณหญิงอ้อ’ พจมาน ดามาพงศ์ ที่เป็นแรงผลัดจาก ‘พลังหลังบ้าน’ ทำให้ ‘บิ๊กป้อม’ ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ถึงขั้นโยกญาติผู้พี่ ‘บิ๊กตุ้ย’ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร จาก ผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ก่อนเกษียณฯ 1 ปี
อีกทั้งชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ ถือเป็น ‘กุญแจสำคัญ’ ในการฝ่าด่าน 250 ส.ว. ให้กับพรรคเพื่อไทยด้วย หากดันชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ เป็น นายกฯ ย่อมมีโอกาสผ่านด่าน ส.ว. ไปได้ แม้พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ตาม แต่ก็ได้เข้ามาสู่อำนาจไว้ก่อน มองการณ์ไกลไปถึงปี 2570 ที่ฝั่งเพื่อไทยจะพลิกขึ้นมานำเอง
อีกแง่หนึ่งการมี ‘บิ๊กป้อม’ เป็น นายกฯ ก็เป็นการป้องกัน ‘รัฐประหาร’ ไปในตัวด้วย เพราะ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นอดีต ผบ.ทบ. มีสายสัมพันธ์ใน ทบ. แนบแน่น เพราะในเหล่าทัพอื่นๆ ก็มีคนใน ‘สายวงษ์สุวรรณ’ อยู่ แม้จะไม่มากเฉกเช่นยุค คสช. ก็ตาม อีกทั้งการเกิดขึ้นของ ‘ทหารคอแดง’ ใน ทบ. ก็ทำให้อำนาจ ‘3ป.บูรพาพยัคฆ์’ ในกองทัพ โดนเฉพาะ ทบ. ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะขุมกำลังปฏิวัติหลัก ทบ. ที่กลายเป็น ‘ทหารคอแดง’ หมดแล้ว ทั้ง พล.1 รอ. - พล.ร.2 รอ. - พล.ม.2 รอ. ดังนั้น ‘เงื่อนไข-ปัจจัย’ ในการทำรัฐประหาร จึงเปลี่ยนไป แต่การมี ‘บิ๊กป้อม’ เป็น นายกฯ ก็เปรียบเป็น ‘ไม่กั้นรัฐประหาร’ ได้บ้าง
หากเป็นไปตามนี้ทั้งหมด สะท้อนว่า ‘ทักษิณ’ เอาทุกทาง เล่นไพ่หลายใบ แต่ลึกๆ ก็สะท้อนว่า ‘พรรคเพื่อไทย-ขั้วทักษิณ’ ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะ ‘แลนด์สไลน์’ หรือได้กลับมามี ‘อำนาจเบ็ดเสร็จ’ และเชื่อว่า ‘ประวัติศาสตร์’ อาจจะซ้ำรอยเช่นที่ผ่านมา กับการถูกรัฐประหาร 2 ครั้ง ที่โดนทั้งพี่ทั้งน้อง และยังคงไม่ได้กลับไทย
ล่าสุดมีการโยนชื่อ ‘นายกฯ ส.เสือ’ ที่ประสานได้กับทุกฝ่าย จะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย นั่นคือ ‘สุรเกียรติ์ เสถียรไทย’ อดีตรองนายกฯ อดีต รมต.การต่างประเทศ ในยุครัฐบาลทักษิณ พรรคไทยรักไทย เป็นทั้งนักกฎหมาย-นักการทูต เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรในประเทศไทย รวมทั้งเคยมีชื่อเป็นแคนดิเดตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แต่สุดท้ายที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้เลือก ‘บัน คี มูน’ รมต.ต่างประเทศ เกาหลีใต้ ในขณะนั้น เป็น เลขาธิการยูเอ็น ทำให้ ‘สุรเกียรติ์’ ต้องถอนตัวตามประเพณี
ภายหลังชื่อ ‘สุรเกียรติ์’ ถูกปล่อยออกมาแล้วนั้น ‘อุ๊งอิ๊ง’ ระบุว่า “ไม่ใช่ และไม่ได้มีการพูดคุยด้วย โดยขณะนี้เขาไม่ได้มีการเข้ามาพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยเลย” คำตอบของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ก็ไม่ปิดประตูชื่อนี้เช่นกัน
หากดูชื่อ ‘สุรเกียรติ์’ เป็นชื่อที่น่าสนใจ เป็นชื่อที่ประสาน ‘อีลีทไทย’ ได้ ที่จะมาอุดช่องโหว่สิ่งที่เป็น ‘จุดอ่อน’ ของ ‘ทักษิณ’ ที่เคยยอมรับว่าไม่เข้าใจวิธีคิด-กลเกม ‘อีลีทไทย’ ซึ่งจุดนี้ทำให้ ‘ทักษิณ’ ต้อง ‘สะดุดขาตัวเอง’ หลายครั้ง นำมาสู่การที่ ‘ขั้วทักษิณ’ ต้องสูญเสียอำนาจถึง 2 ครั้ง แน่นอนว่าเกมนี้ ‘ส.สุรเกียรติ์’ ก็ต้องคิดหนัก เพราะมี ‘บทเรียน’ ในอดีตให้เห็น กับชะตากรรมคนที่มาเป็น ‘นายกฯ’ ให้กับ ‘ขั้วทักษิณ’ ที่จบไม่สวยสักคน อีกทั้งก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวถึงชื่อ ‘สันติธาร เสถียรไทย’ ลูกชายของ ‘สุรเกียรติ์’ จะมาเป็นแคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้นจริง
พร้อมกับกระแสข่าวที่ไม่เคยสยบลงได้ สูตร ‘ดีลข้ามขั้ว’ ระหว่าง ‘เพื่อไทย-พลังประชารัฐ’ ในการจัดตั้งรัฐบาล แม้ว่า ‘ทักษิณ’ จะยืนยันว่า ไม่มีเกี้ยเซียะ พปชร. ไม่ต้องออกกฎหมายช่วย ในฝั่ง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ระบุว่า ไม่มีคุยกัน แต่ทั้งหมดนี้ก็สะท้อนท่าที ‘แทงกั๊ก’ ของฝั่งเพื่อไทย ที่ไม่ชัดเจนเท่าฝั่ง ‘พรรคก้าวไกล’ ที่ประกาศชัดไม่ร่วมงานกับ ‘พลังประชารัฐ’ แน่นอน ส่วน ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หน.พลังประชารัฐ ก็ไม่ปิดประตูจับมือกับ ‘พรรคเพื่อไทย’ รีแบรนด์ พปชร. เป็น ‘พรรคไร้ขั้ว’ ไร้ความขัดแย้ง
ด้วยสายสัมพันธ์ ‘บ้านป่ารอยต่อ-บ้านจันทร์ส่องหล้า’ ระหว่าง ‘บิ๊กป้อม’ กับ ‘คุณหญิงอ้อ’ พจมาน ดามาพงศ์ ที่เป็นแรงผลัดจาก ‘พลังหลังบ้าน’ ทำให้ ‘บิ๊กป้อม’ ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ถึงขั้นโยกญาติผู้พี่ ‘บิ๊กตุ้ย’ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร จาก ผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ก่อนเกษียณฯ 1 ปี
อีกทั้งชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ ถือเป็น ‘กุญแจสำคัญ’ ในการฝ่าด่าน 250 ส.ว. ให้กับพรรคเพื่อไทยด้วย หากดันชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ เป็น นายกฯ ย่อมมีโอกาสผ่านด่าน ส.ว. ไปได้ แม้พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ตาม แต่ก็ได้เข้ามาสู่อำนาจไว้ก่อน มองการณ์ไกลไปถึงปี 2570 ที่ฝั่งเพื่อไทยจะพลิกขึ้นมานำเอง
อีกแง่หนึ่งการมี ‘บิ๊กป้อม’ เป็น นายกฯ ก็เป็นการป้องกัน ‘รัฐประหาร’ ไปในตัวด้วย เพราะ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นอดีต ผบ.ทบ. มีสายสัมพันธ์ใน ทบ. แนบแน่น เพราะในเหล่าทัพอื่นๆ ก็มีคนใน ‘สายวงษ์สุวรรณ’ อยู่ แม้จะไม่มากเฉกเช่นยุค คสช. ก็ตาม อีกทั้งการเกิดขึ้นของ ‘ทหารคอแดง’ ใน ทบ. ก็ทำให้อำนาจ ‘3ป.บูรพาพยัคฆ์’ ในกองทัพ โดนเฉพาะ ทบ. ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะขุมกำลังปฏิวัติหลัก ทบ. ที่กลายเป็น ‘ทหารคอแดง’ หมดแล้ว ทั้ง พล.1 รอ. - พล.ร.2 รอ. - พล.ม.2 รอ. ดังนั้น ‘เงื่อนไข-ปัจจัย’ ในการทำรัฐประหาร จึงเปลี่ยนไป แต่การมี ‘บิ๊กป้อม’ เป็น นายกฯ ก็เปรียบเป็น ‘ไม่กั้นรัฐประหาร’ ได้บ้าง
หากเป็นไปตามนี้ทั้งหมด สะท้อนว่า ‘ทักษิณ’ เอาทุกทาง เล่นไพ่หลายใบ แต่ลึกๆ ก็สะท้อนว่า ‘พรรคเพื่อไทย-ขั้วทักษิณ’ ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะ ‘แลนด์สไลน์’ หรือได้กลับมามี ‘อำนาจเบ็ดเสร็จ’ และเชื่อว่า ‘ประวัติศาสตร์’ อาจจะซ้ำรอยเช่นที่ผ่านมา กับการถูกรัฐประหาร 2 ครั้ง ที่โดนทั้งพี่ทั้งน้อง และยังคงไม่ได้กลับไทย
