ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ตอบคำถามถึงหลักการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยระบุว่า เย็นวันนี้ พรรคฯ จะมีการประชุมกัน แต่ที่ชัดเจนคือไม่มีการเสนอแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคฯ ลงแข่ง ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลเดิมจะมีการหารือนอกรอบหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ซึ่งอาจเป็นการคุยกันก่อนโหวตก็ได้ และทุกพรรคคุยกันได้อยู่แล้ว
พร้อมระบุ ไม่ทราบว่าในซีก 188 เสียง จะมีการเสนอชื่อนายกฯ แข่งหรือไม่ แต่ถ้าจะเสนอ ก็ต้องมาพูดคุยกันก่อน ส่วนกรณีที่มีนักวิชาการหรือนักการเมืองออกมาชี้นำ ส.ว. กดดันโหวตนายกฯ นั้นเชื่อว่า ส.ว.เป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ ไม่ต้องไปชี้นำ ทั้งนี้ ทราบว่าจะให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ หรืออาจเลือกไม่ได้ภายในครั้งเดียว และเห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ประชาชนรู้อยู่แล้วว่าแคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรคมีวิสัยทัศน์อย่างไร จึงไม่ควรใช้เวลาเยอะในการแสดงวิสัยทัศน์อีก
“โหวตครั้งแรกก็คงได้แล้ว ถ้าไม่ได้ ก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคอันดับสองจัดตั้งรัฐบาลไป ถ้าอันดับสองตั้งไม่ได้ ก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคอันดับสามจัดตั้งไป หรือถ้าจะมีองค์ประกอบเงื่อนไขใหม่ก็ค่อยว่ากัน ไม่ควรใช้เวลานาน” ธนกร ระบุ
เมื่อถามว่า หากชื่อ พิธา ไม่ผ่านในรอบแรก แล้วครั้งที่สองมีการเสนอชื่ออีกครั้ง ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ จะเสนอญัตติคัดค้านหรือไม่นั้น ธนกร ตอบว่า ต้องรอดูหน้างาน แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ควรมีแล้ว เพราะไม่มีสิ่งไหนจะไปเปลี่ยนใจคนได้ภายใน 1-2 วัน เพราะเขาดูมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว ดังนั้น กลไกต่างๆ เดินหน้าแล้ว ส่วนตัวอยากให้กลไกการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนใครจะได้เป็นนายกฯ นั้นอยู่ที่ ส.ส. และ ส.ว.โหวตกัน และไม่ควรอ้างประชาชน เพราะประชาชนก็เลือกมาทุกพรรค
ส่วนเมื่อถามต่อไปว่า กลัวม็อบที่จะมาชุมนุมหน้ารัฐสภา หรือไม่ ธนกร ก็ระบุว่า คงไม่กลัวหรอก แต่ไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะปลุกระดม หรือใช้มวลชนมากดดัน ส.ส.หรือ ส.ว. ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร
“วันนี้ ส.ส., ส.ว. ต้องคิดหลายอย่าง เพราะมันมีกลไกของศาลฯ อยู่ และมีเรื่องร้องเรียนอะไรต่างๆ การจะโหวตก็ต้องกังวลเหมือนกัน ต้องไปดูข้อกฎหมาย และทราบมาว่าตอนเย็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ จะมีการยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ พอเรื่องอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มันก็มีหลายอย่าง ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ซึ่งมันไม่มีใครทำใคร แต่เป็นสิ่งที่เราทำตัวเองทั้งนั้น อย่าไปโทษใครเลย วันนี้ก็ต้องปล่อย ส่วนในเรื่องของนิติสงครามอะไรต่างๆ ไม่ควรไปพูดแล้ว เพราะไม่มีใครไปทำให้เป็นอย่างนั้น ตัวท่านเองหรือกลุ่มท่านเองทั้งนั้นที่เป็นคนทำ จะมาบอกว่าเป็นนิติสงคราม ผมว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอน เป็นการใช้วาทกรรมกล่าวหามากเกินไป ไม่มีหรอกนิติสงคราม มีแต่ใครทำกรรมไว้ คนนั้นก็รับกรรมไป ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนายพิธา เป็นการส่วนตัว เพราะ ส.ส.ก้าวไกล ก็มีเก่งๆ เยอะ แต่กลไกลต่างๆ ที่ทำมา มีหลายเรื่องที่รับไม่ได้ เป็นนโยบายที่เห็นต่างกัน และผมก็ไม่เลือกเท่านั้นเอง” ธนกร กล่าว
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่ามวลชนมีทุกฝ่าย ตอนนี้ได้บอกประชาชนที่ชื่นชอบฝั่งรัฐบาลเดิมว่าไม่อยากให้ออกมาเชียร์ เพราะไม่เกิดประโยชน์ บางครั้งหากมีมวลชนออกมาหลายฝ่ายก็จะเป็นเรื่องที่น่าหนักใจ เพราะอาจเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดหวังได้ ดังนั้น อยากให้การเลือกนายกฯ เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ตามขั้นตอน ไม่อยากเห็นบรรยากาศที่มีการปลุกระดม ซึ่งตนไม่ได้ว่าพรรคไหน เพราะบ้านเมืองสงบมานานแล้ว ไม่อยากให้กลับไปสู่ความขัดแย้งเหมือนในอดีต
“ไม่ได้มองว่าจะมีอีกฝ่ายหนึ่งมา แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่ชื่นชอบแต่ละพรรคการเมืองก็มีอยู่ คนที่ชื่นชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็มีเยอะ จึงไม่อยากให้มีบรรยากาศที่ประชาชนออกมา การแสดงความคิดเห็นทำได้อยู่แล้วตามระบอบประชาธิปไตย การชุมนุมก็ควรจะเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ซึ่งได้ทราบว่าทาง กทม.ได้จัดพื้นที่สำหรับชุมนุมไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ประชาชนก็ไม่ควรจะไปเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่มีปัญหา” ธนกร กล่าว
พร้อมระบุ ไม่ทราบว่าในซีก 188 เสียง จะมีการเสนอชื่อนายกฯ แข่งหรือไม่ แต่ถ้าจะเสนอ ก็ต้องมาพูดคุยกันก่อน ส่วนกรณีที่มีนักวิชาการหรือนักการเมืองออกมาชี้นำ ส.ว. กดดันโหวตนายกฯ นั้นเชื่อว่า ส.ว.เป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ ไม่ต้องไปชี้นำ ทั้งนี้ ทราบว่าจะให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ หรืออาจเลือกไม่ได้ภายในครั้งเดียว และเห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ประชาชนรู้อยู่แล้วว่าแคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรคมีวิสัยทัศน์อย่างไร จึงไม่ควรใช้เวลาเยอะในการแสดงวิสัยทัศน์อีก
“โหวตครั้งแรกก็คงได้แล้ว ถ้าไม่ได้ ก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคอันดับสองจัดตั้งรัฐบาลไป ถ้าอันดับสองตั้งไม่ได้ ก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคอันดับสามจัดตั้งไป หรือถ้าจะมีองค์ประกอบเงื่อนไขใหม่ก็ค่อยว่ากัน ไม่ควรใช้เวลานาน” ธนกร ระบุ
เมื่อถามว่า หากชื่อ พิธา ไม่ผ่านในรอบแรก แล้วครั้งที่สองมีการเสนอชื่ออีกครั้ง ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ จะเสนอญัตติคัดค้านหรือไม่นั้น ธนกร ตอบว่า ต้องรอดูหน้างาน แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ควรมีแล้ว เพราะไม่มีสิ่งไหนจะไปเปลี่ยนใจคนได้ภายใน 1-2 วัน เพราะเขาดูมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว ดังนั้น กลไกต่างๆ เดินหน้าแล้ว ส่วนตัวอยากให้กลไกการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนใครจะได้เป็นนายกฯ นั้นอยู่ที่ ส.ส. และ ส.ว.โหวตกัน และไม่ควรอ้างประชาชน เพราะประชาชนก็เลือกมาทุกพรรค
ส่วนเมื่อถามต่อไปว่า กลัวม็อบที่จะมาชุมนุมหน้ารัฐสภา หรือไม่ ธนกร ก็ระบุว่า คงไม่กลัวหรอก แต่ไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะปลุกระดม หรือใช้มวลชนมากดดัน ส.ส.หรือ ส.ว. ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร
“วันนี้ ส.ส., ส.ว. ต้องคิดหลายอย่าง เพราะมันมีกลไกของศาลฯ อยู่ และมีเรื่องร้องเรียนอะไรต่างๆ การจะโหวตก็ต้องกังวลเหมือนกัน ต้องไปดูข้อกฎหมาย และทราบมาว่าตอนเย็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ จะมีการยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ พอเรื่องอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มันก็มีหลายอย่าง ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ซึ่งมันไม่มีใครทำใคร แต่เป็นสิ่งที่เราทำตัวเองทั้งนั้น อย่าไปโทษใครเลย วันนี้ก็ต้องปล่อย ส่วนในเรื่องของนิติสงครามอะไรต่างๆ ไม่ควรไปพูดแล้ว เพราะไม่มีใครไปทำให้เป็นอย่างนั้น ตัวท่านเองหรือกลุ่มท่านเองทั้งนั้นที่เป็นคนทำ จะมาบอกว่าเป็นนิติสงคราม ผมว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอน เป็นการใช้วาทกรรมกล่าวหามากเกินไป ไม่มีหรอกนิติสงคราม มีแต่ใครทำกรรมไว้ คนนั้นก็รับกรรมไป ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนายพิธา เป็นการส่วนตัว เพราะ ส.ส.ก้าวไกล ก็มีเก่งๆ เยอะ แต่กลไกลต่างๆ ที่ทำมา มีหลายเรื่องที่รับไม่ได้ เป็นนโยบายที่เห็นต่างกัน และผมก็ไม่เลือกเท่านั้นเอง” ธนกร กล่าว
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่ามวลชนมีทุกฝ่าย ตอนนี้ได้บอกประชาชนที่ชื่นชอบฝั่งรัฐบาลเดิมว่าไม่อยากให้ออกมาเชียร์ เพราะไม่เกิดประโยชน์ บางครั้งหากมีมวลชนออกมาหลายฝ่ายก็จะเป็นเรื่องที่น่าหนักใจ เพราะอาจเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดหวังได้ ดังนั้น อยากให้การเลือกนายกฯ เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ตามขั้นตอน ไม่อยากเห็นบรรยากาศที่มีการปลุกระดม ซึ่งตนไม่ได้ว่าพรรคไหน เพราะบ้านเมืองสงบมานานแล้ว ไม่อยากให้กลับไปสู่ความขัดแย้งเหมือนในอดีต
“ไม่ได้มองว่าจะมีอีกฝ่ายหนึ่งมา แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่ชื่นชอบแต่ละพรรคการเมืองก็มีอยู่ คนที่ชื่นชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็มีเยอะ จึงไม่อยากให้มีบรรยากาศที่ประชาชนออกมา การแสดงความคิดเห็นทำได้อยู่แล้วตามระบอบประชาธิปไตย การชุมนุมก็ควรจะเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ซึ่งได้ทราบว่าทาง กทม.ได้จัดพื้นที่สำหรับชุมนุมไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ประชาชนก็ไม่ควรจะไปเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่มีปัญหา” ธนกร กล่าว
