‘ชัชชาติ’ เตรียมรวบรวมปัญหาพร้อมหารือรัฐบาลใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพดูแลประชาชน เล็งเสนอแบ่งแนวคิด 7 โซนดูแลคนป่วยโควิด พร้อมฝากทบทวนผลกระทบเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ หลังพบห้างสรรพสินค้าเสียภาษีลดลง 10 เท่า
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกิจกรรม ‘ผู้ว่า กทม. สัญจร เขตพญาไท’ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามนโยบาย ผลการดำเนินงานตาม Application Traffy Fondue และปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของสำนักงานเขต
ชัชชาติ เปิดเผยว่า วันนี้กลับมาสัญจรอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้สัญจรมาในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งเขตพญาไทเป็นเขตลำดับที่ 28 และกิจกรรมผู้ว่าฯ สัญจรเป็นหนึ่งใน 216 นโยบาย เพราะว่า ต้องการลงพื้นที่เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของแต่ละเขต ในส่วนของเขตพญาไทพื้นที่ไม่ได้ใหญ่มาก มีประชากรอยู่ประมาณ 60,000 คน สภาพพื้นที่ล้อมรอบด้วยคลองสามเสน คลองบางซื่อ ถนนสายหลักในพื้นที่ ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวดีและถนนพระราม 6 ฯลฯ
ปัญหาหลักๆในพื้นที่เรื่องจุดน้ำท่วมมี 2 จุด คือ วิภาวดี ซึ่งได้รับการแก้ไขแล้วบริเวณหน้ากรมทหารเป็นเขตความรับผิดชอบของกรมทางหลวง ซึ่งสำนักการระบายน้ำได้เข้าไปดูแลโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีบริเวณถนนสุทธิสารบางจุด จากการประเมินสถานการณ์โดยสำนักการระบายน้ำพบว่าดีขึ้น การขุดลอกคูคลองระบายน้ำสามารถดำเนินการไปได้กว่า 3,000 กิโลเมตร ซึ่งในปีนี้คงไม่มีปัญหาเรื่องการระบายน้ำ แต่ปัญหาที่ยังคงมีอยู่คือไฟฟ้าส่องสว่าง จากทั้งหมด 2,021 ดวง ขณะนี้เหลือที่ยังต้องแก้ไขอีกเพียง 60 ดวง ซึ่งจะเร่งประสานการไฟฟ้านครหลวงแก้ไขภายในเดือนนี้
สำหรับโรงเรียนสังกัดกทม.ในพื้นที่มีเพียง 1 แห่ง คือโรงเรียนวัดไผ่ตัน เปิดการเรียนการสอนถึงชั้นม.6 จากการติดตามการดำเนินการตามนโยบายเรื่องของการติดตั้งห้องคอมพิวเตอร์แล็บทุกโรงเรียนทั้งหมด 437 แห่ง โรงเรียนวัดไผ่ตันก็เตรียมห้องไว้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้ปรับปรุงคุณภาพอาหาร โดยจัดให้มีสลัดบาร์ สัปดาห์ละ 3 วัน และดำเนินการโครงการคืนครูให้กับนักเรียนโดยจ้างธุรการ ทั้งนี้ศูนย์บริการสาธารณสุข ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวก็ได้มีการพัฒนาการให้บริการเช่นเดียวกัน
“หนึ่งในปัญหาที่เขตส่วนใหญ่มีอยู่คือ อัตราว่าง โดยเขตพญาไทยังขาดบุคลากรอยู่อีก 27 อัตรา ซึ่งกทม.จะได้ปรับในส่วนของการสอบคัดเลือกให้ดีขึ้น มีการคัดเลือกคนอย่างยุติธรรม” ชัชชาติ กล่าว
ชัชชาติ กล่าวว่า เรื่องที่จะฝากไปถึงรัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากคือ เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เดิมการเก็บภาษีโรงเรือนจะคิดจากรายได้ 12.5% เพื่อมาเป็นรายได้ของเขต แต่เมื่อเปลี่ยนรูปแบบภาษีใหม่โดยคิดตามมูลค่าที่ดิน ยกตัวอย่างเขตพญาไท ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บภาษี สามารถจัดเก็บได้ประมาณ 300 ล้านบาท เมื่อเปลี่ยนรูปแบบภาษีทำให้รายได้ลดลงเหลือประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะคาดว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้ที่มีรายได้มากจะต้องเสียภาษีมากแต่พบว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในพื้นที่พญาไท เดิมเสียภาษี 10 ล้านบาท แต่เมื่อเก็บภาษีรูปแบบใหม่ เสียภาษีเพียง 1 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าภาษีลดลงถึง 10 เท่า หรืออาคารสำนักงานใหญ่แห่งหนึ่ง เดิมเสียภาษีกว่า 11 ล้านบาท เพราะคำนวณจากค่าเช่าภายในสำนักงาน แต่เมื่อคิดภาษีรูปแบบใหม่ เหลือเพียง 7 แสนบาท เพราะคิดตามมูลค่าที่ดิน และยิ่งเป็นอาคารเก่าก็ต้องคิดค่าเสื่อมเพิ่มไปอีก ในขณะที่ห้องเช่าซึ่งเป็นอาคาร เดิมเก็บได้ 4 ล้านกว่าบาท ภาษีใหม่เก็บได้เพียง 7 แสนบาท เพราะเจ้าของได้ย้ายชื่อมาอยู่ในห้องเช่าทำให้กลายเป็นที่อยู่อาศัยและจะเสียภาษีในอีกอัตราหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ต้องฝากไปถึงรัฐบาลและรัฐสภาใหม่ เพื่อให้สรุปและทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้นและสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้จริง รวมทั้งพิจารณาเงินในส่วนที่ยังค้างกทม.อยู่ เนื่องจากนโยบายการลดภาษีหากคืนเงินมาได้ ท้องถิ่นจะมีเงินสามารถนำไปบริหารตามหลักกระจายอำนาจได้มากขึ้น
ด้านรศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กทม.ขณะนี้ว่า พบผู้ป่วยวันละ 1,300-1,500 คน สูงสุดคือวันละ 1,900 คน ซึ่งเป็นข้อมูลจากโรงพยาบาลสังกัดกทม. และศูนย์บริการสาธารณสุขของกทม.เท่านั้น จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่า ผู้ป่วยจะมากกว่านี้ 2-3 เท่า ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่มีอาการในระดับเหลือง-/ส้ม 1-2% บางรายอาจเปลี่ยนเป็นผู้ป่วยวิกฤติ โดยเฉพาะในกลุ่ม 608 และผู้ที่ห่างจากการรับวัคซีนเข็มสุดท้าย มานานเกินกว่า 3 เดือนแล้ว อัตราการครองเตียงอยู่ที่ 50% ทั้งนี้ประชาชนสามารถไปรับวัคซีนได้ที่รพ.ของกทม. ศูนย์บริการสาธารณสุข และจุดฉีดวัคซีนนอกสถานพยาบาลตามศูนย์การค้าได้ ซึ่งติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Facebook กรุงเทพมหานคร
ชัชชาติ กล่าวว่า สถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วง กทม.ยังคงร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาการประสานงานระหว่างโรงพยาบาล อาจจะไม่ได้ไร้รอยต่ออย่างแท้จริง ซึ่งกทม.มีแนวคิดที่จะแบ่งเป็น 7 โซน แต่ละโซนจะมีรพ.แม่ และมีรพ.เครือข่าย ซึ่งอาจมีหลายสังกัด ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกันและจะทำให้เรื่องการสาธารณสุขในกรุงเทพฯมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในเรื่องนี้กทม.จะได้เสนอกับรัฐบาลใหม่ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ในช่วงกลางวัน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กับเจ้าหน้าที่เขต 5 คน ประกอบด้วย หนึ่ง เปรมทองน้อย ตำแหน่งพนักงานทั่วไป (ระบายน้ำ) , ธนภัค ขวัญใจ ลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งพนักงานทั่วไป (กวาด) , ประเทือง จงใจเทศ ลูกจ้างประจำ ตำแหน่งพนักงานสวนสาธารณะ บ2 ,วัชราภรณ์ ผลเจริญ ลูกจ้างประจำ ตำแหน่งพนักงานทั่วไป (กวาด) บ1 และชัยวัฒน์ เคลือเถื่อน ลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งพนักงานทั่วไป (เก็บขนมูลฝอย) โดยเมนูในวันนี้ ประกอบด้วย ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาร้านดังปากซอยประดิพัทธ์ 19 ซุปเนื้อ ขนมปั้นขลิบ หมูสะเต๊ะร้านดังตลาด อตก. รวมถึงผลไม้ ปลาสลิดทอด และผัดเผ็ดปลากรายจากตลาดอตก.
สำหรับการร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับข้าราชการและบุคลากรของกรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของการลงพื้นที่ตามนโยบาย ‘ผู้ว่าฯสัญจร’ในทุกหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากผู้ว่าฯกทม.ได้ให้ความสำคัญกับข้าราชการและบุคลากรทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องปฏิบัติงานใกล้ชิดกับประชาชน ซึ่งถือเป็น ‘โซ่ข้อสุดท้าย’ ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกรุงเทพมหานครกับประชาชนให้สามารถเดินไปด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในการรับประทานร่วมกัน ผู้ว่าฯกทม.ได้พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบ รับฟังปัญหาและอุปสรรคในการทำงานและปัญหาส่วนตัว พร้อมทั้งให้กำลังใจในการทำงาน
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกิจกรรม ‘ผู้ว่า กทม. สัญจร เขตพญาไท’ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามนโยบาย ผลการดำเนินงานตาม Application Traffy Fondue และปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของสำนักงานเขต
ชัชชาติ เปิดเผยว่า วันนี้กลับมาสัญจรอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้สัญจรมาในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งเขตพญาไทเป็นเขตลำดับที่ 28 และกิจกรรมผู้ว่าฯ สัญจรเป็นหนึ่งใน 216 นโยบาย เพราะว่า ต้องการลงพื้นที่เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของแต่ละเขต ในส่วนของเขตพญาไทพื้นที่ไม่ได้ใหญ่มาก มีประชากรอยู่ประมาณ 60,000 คน สภาพพื้นที่ล้อมรอบด้วยคลองสามเสน คลองบางซื่อ ถนนสายหลักในพื้นที่ ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวดีและถนนพระราม 6 ฯลฯ
ปัญหาหลักๆในพื้นที่เรื่องจุดน้ำท่วมมี 2 จุด คือ วิภาวดี ซึ่งได้รับการแก้ไขแล้วบริเวณหน้ากรมทหารเป็นเขตความรับผิดชอบของกรมทางหลวง ซึ่งสำนักการระบายน้ำได้เข้าไปดูแลโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีบริเวณถนนสุทธิสารบางจุด จากการประเมินสถานการณ์โดยสำนักการระบายน้ำพบว่าดีขึ้น การขุดลอกคูคลองระบายน้ำสามารถดำเนินการไปได้กว่า 3,000 กิโลเมตร ซึ่งในปีนี้คงไม่มีปัญหาเรื่องการระบายน้ำ แต่ปัญหาที่ยังคงมีอยู่คือไฟฟ้าส่องสว่าง จากทั้งหมด 2,021 ดวง ขณะนี้เหลือที่ยังต้องแก้ไขอีกเพียง 60 ดวง ซึ่งจะเร่งประสานการไฟฟ้านครหลวงแก้ไขภายในเดือนนี้
สำหรับโรงเรียนสังกัดกทม.ในพื้นที่มีเพียง 1 แห่ง คือโรงเรียนวัดไผ่ตัน เปิดการเรียนการสอนถึงชั้นม.6 จากการติดตามการดำเนินการตามนโยบายเรื่องของการติดตั้งห้องคอมพิวเตอร์แล็บทุกโรงเรียนทั้งหมด 437 แห่ง โรงเรียนวัดไผ่ตันก็เตรียมห้องไว้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้ปรับปรุงคุณภาพอาหาร โดยจัดให้มีสลัดบาร์ สัปดาห์ละ 3 วัน และดำเนินการโครงการคืนครูให้กับนักเรียนโดยจ้างธุรการ ทั้งนี้ศูนย์บริการสาธารณสุข ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวก็ได้มีการพัฒนาการให้บริการเช่นเดียวกัน
“หนึ่งในปัญหาที่เขตส่วนใหญ่มีอยู่คือ อัตราว่าง โดยเขตพญาไทยังขาดบุคลากรอยู่อีก 27 อัตรา ซึ่งกทม.จะได้ปรับในส่วนของการสอบคัดเลือกให้ดีขึ้น มีการคัดเลือกคนอย่างยุติธรรม” ชัชชาติ กล่าว
ชัชชาติ กล่าวว่า เรื่องที่จะฝากไปถึงรัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากคือ เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เดิมการเก็บภาษีโรงเรือนจะคิดจากรายได้ 12.5% เพื่อมาเป็นรายได้ของเขต แต่เมื่อเปลี่ยนรูปแบบภาษีใหม่โดยคิดตามมูลค่าที่ดิน ยกตัวอย่างเขตพญาไท ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บภาษี สามารถจัดเก็บได้ประมาณ 300 ล้านบาท เมื่อเปลี่ยนรูปแบบภาษีทำให้รายได้ลดลงเหลือประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะคาดว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้ที่มีรายได้มากจะต้องเสียภาษีมากแต่พบว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในพื้นที่พญาไท เดิมเสียภาษี 10 ล้านบาท แต่เมื่อเก็บภาษีรูปแบบใหม่ เสียภาษีเพียง 1 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าภาษีลดลงถึง 10 เท่า หรืออาคารสำนักงานใหญ่แห่งหนึ่ง เดิมเสียภาษีกว่า 11 ล้านบาท เพราะคำนวณจากค่าเช่าภายในสำนักงาน แต่เมื่อคิดภาษีรูปแบบใหม่ เหลือเพียง 7 แสนบาท เพราะคิดตามมูลค่าที่ดิน และยิ่งเป็นอาคารเก่าก็ต้องคิดค่าเสื่อมเพิ่มไปอีก ในขณะที่ห้องเช่าซึ่งเป็นอาคาร เดิมเก็บได้ 4 ล้านกว่าบาท ภาษีใหม่เก็บได้เพียง 7 แสนบาท เพราะเจ้าของได้ย้ายชื่อมาอยู่ในห้องเช่าทำให้กลายเป็นที่อยู่อาศัยและจะเสียภาษีในอีกอัตราหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ต้องฝากไปถึงรัฐบาลและรัฐสภาใหม่ เพื่อให้สรุปและทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้นและสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้จริง รวมทั้งพิจารณาเงินในส่วนที่ยังค้างกทม.อยู่ เนื่องจากนโยบายการลดภาษีหากคืนเงินมาได้ ท้องถิ่นจะมีเงินสามารถนำไปบริหารตามหลักกระจายอำนาจได้มากขึ้น
ด้านรศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กทม.ขณะนี้ว่า พบผู้ป่วยวันละ 1,300-1,500 คน สูงสุดคือวันละ 1,900 คน ซึ่งเป็นข้อมูลจากโรงพยาบาลสังกัดกทม. และศูนย์บริการสาธารณสุขของกทม.เท่านั้น จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่า ผู้ป่วยจะมากกว่านี้ 2-3 เท่า ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่มีอาการในระดับเหลือง-/ส้ม 1-2% บางรายอาจเปลี่ยนเป็นผู้ป่วยวิกฤติ โดยเฉพาะในกลุ่ม 608 และผู้ที่ห่างจากการรับวัคซีนเข็มสุดท้าย มานานเกินกว่า 3 เดือนแล้ว อัตราการครองเตียงอยู่ที่ 50% ทั้งนี้ประชาชนสามารถไปรับวัคซีนได้ที่รพ.ของกทม. ศูนย์บริการสาธารณสุข และจุดฉีดวัคซีนนอกสถานพยาบาลตามศูนย์การค้าได้ ซึ่งติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Facebook กรุงเทพมหานคร
ชัชชาติ กล่าวว่า สถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วง กทม.ยังคงร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาการประสานงานระหว่างโรงพยาบาล อาจจะไม่ได้ไร้รอยต่ออย่างแท้จริง ซึ่งกทม.มีแนวคิดที่จะแบ่งเป็น 7 โซน แต่ละโซนจะมีรพ.แม่ และมีรพ.เครือข่าย ซึ่งอาจมีหลายสังกัด ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกันและจะทำให้เรื่องการสาธารณสุขในกรุงเทพฯมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในเรื่องนี้กทม.จะได้เสนอกับรัฐบาลใหม่ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ในช่วงกลางวัน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กับเจ้าหน้าที่เขต 5 คน ประกอบด้วย หนึ่ง เปรมทองน้อย ตำแหน่งพนักงานทั่วไป (ระบายน้ำ) , ธนภัค ขวัญใจ ลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งพนักงานทั่วไป (กวาด) , ประเทือง จงใจเทศ ลูกจ้างประจำ ตำแหน่งพนักงานสวนสาธารณะ บ2 ,วัชราภรณ์ ผลเจริญ ลูกจ้างประจำ ตำแหน่งพนักงานทั่วไป (กวาด) บ1 และชัยวัฒน์ เคลือเถื่อน ลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งพนักงานทั่วไป (เก็บขนมูลฝอย) โดยเมนูในวันนี้ ประกอบด้วย ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาร้านดังปากซอยประดิพัทธ์ 19 ซุปเนื้อ ขนมปั้นขลิบ หมูสะเต๊ะร้านดังตลาด อตก. รวมถึงผลไม้ ปลาสลิดทอด และผัดเผ็ดปลากรายจากตลาดอตก.
สำหรับการร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับข้าราชการและบุคลากรของกรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของการลงพื้นที่ตามนโยบาย ‘ผู้ว่าฯสัญจร’ในทุกหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากผู้ว่าฯกทม.ได้ให้ความสำคัญกับข้าราชการและบุคลากรทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องปฏิบัติงานใกล้ชิดกับประชาชน ซึ่งถือเป็น ‘โซ่ข้อสุดท้าย’ ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกรุงเทพมหานครกับประชาชนให้สามารถเดินไปด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในการรับประทานร่วมกัน ผู้ว่าฯกทม.ได้พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบ รับฟังปัญหาและอุปสรรคในการทำงานและปัญหาส่วนตัว พร้อมทั้งให้กำลังใจในการทำงาน