และแล้ว ‘ความเคลื่อนไหว’ ก็ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะแผนลับของ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่ซุ่มเงียบวางแผนแบบ ‘ทหาร’ ชนิดที่ ‘ลับลวงพราง’ ไม่ให้หลุดออกมา ไม่ให้ ‘ศัตรู’ รู้ตัว หรืออ่านเกมออก โดยเฉพาะการเป็น ‘ผู้เล่นนอกสนาม’ ให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ถูกมองเป็น ‘ฐานที่มั่นใหม่’ ของ พล.อ.ประยุทธ์ แยกออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตามแนวทาง ‘แยกกันเดิน รวมกันตี’ บนเกมการเมืองของ ‘3ป.บูรพาพยัคฆ์’ ที่ต้องกรำศึกกับ ‘ขั้วเพื่อไทย-ชินวัตร’ ที่ต้องเล่น ‘ละครสองหน้า’ บนเกมการเมือง จับมือทั้ง 2 ขั้วการเมือง บนเกมที่ ‘3ป.’ ยังคงกำหนดทางเดิม อีกแง่หนึ่งก็เป็นการ ‘คุมลูกสมุน’ แต่ละฝ่าย เพราะคนรอบกาย ‘2ป.’ ต่างไม่ถูกกันเอง เช่นคนใกล้ตัว ‘บิ๊กป้อม’ ก็ล้วนเป็น ‘โจทก์เก่า’ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งนั้น แต่กลับกันคนรอบตัว ‘บิ๊กตู่’ หลายคน ก็มีเรื่องค้างคากับ ‘บิ๊กป้อม’
สัญญาณล่าสุดที่ ‘บิ๊กตู่’ เตรียมไป รทสช. คือการตั้ง ‘ไตรรงค์ สุวรรณคีรี’ อดีตรองนายกฯ ที่เพิ่งลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็น ‘ที่ปรึกษานายกฯ’ คนใหม่ ให้รับผิดชอบนั้นคือเรื่องนโยบายและการปราศรัย ซึ่งเป็นที่จับตามองว่า เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง โดย พล.อ.ประยุทธ์ และ ‘ไตรรงค์’ ถูกจับตามองจะไปอยู่กับ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ทั้งคู่
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคม 2565 ‘ไตรรงค์’ ขณะเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษา ปชป. ขึ้นเวทีปราศรัยในรอบ 8 ปี สนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ชุมพร กล่าวซัด ‘บิ๊กป้อม’ เต็มๆ เพื่อกระทบชิ่งไปถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขณะเป็นเลขาธิการ พปชร. ชนิดที่ ‘เต็มคาราเบล’ พร้อมขยี้ถึงกระแส ‘ดีลข้ามขั้ว’ ที่ถูกจับสัญญาณนี้ได้มาตั้งแต่ปี 2564 ในเรื่องระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หารจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ด้วย 100 ซึ่งสูตรนี้ถูกมองว่าเข้าทาง ‘เพื่อไทย’ ซึ่งในขณะนั้นท่าทีของ พปชร. กับ เพื่อไทย ต่างดูแล้ว ‘จูบปากกัน’ ทำการเมือง
โดย ‘ไตรรงค์’ กล่าวตอนหนึ่งว่า บิ๊กป้อมกับผมรักกัน สนิทกัน โดยส่วนตัวเป็นคนคบได้ ช่วยกันได้ นั่นคือการเอาใจช่วย ขึ้นรถไปแล้ว อย่าพึ่งเคลื่อน ให้แกขึ้นจบก่อน เพราะนักข่าวตามมาก แกยังไม่ได้ตอบ ก็ลุ้นให้แกตอบว่า ‘ผมไม่รู้’ นี่ลุ้นทุกที กับบิ๊กป้อม ผมแก่กว่า 4 เดือน ตอนผมเป็นรองนายกฯ แกเป็น รมต.กลาโหม แกก็เรียกพี่รงค์ บิ๊กตู่ก็เรียกผมพี่รงค์ อนุพงษ์ก็เรียกผมพี่รงค์ ส่วน พล.อ.ประวิตร ก็เรียกผมว่าพี่ แต่ผมบอกอย่ามาเรียก เราเกิดปีเดียวกัน ไม่ได้พี่ ผมเช็คแล้ว พี่แก่กว่าผม 4 เดือน ทหารถือเป็นวินัย วันเดียวก็เรียกพี่ ก็เรียกพี่เรียกน้องกันมาตลอด
ผมผิดหวังบิ๊กป้อม คือแกเป็นผู้ใหญ่ แล้วมาเล่นการเมืองนี้ดี เราอย่าไปรังเกียจไม่ว่าเป็นทหารหรือพลเรือนเป็นประโยชน์กับประเทศ เพราะเป็นคนใต้ทั้งหมด แต่ด้วยผมอยู่กับพล.อ.เปรมนาน ผมก็เลยเข้าใจว่าคนที่เป็นรัฐบุรุษ ซึ่งคนที่เป็นรัฐบุรุษเขาต้องมองการณ์ไกล เห็นผลประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของพรรค เค้าจะต้องเห็นผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าบุคคลในพรรค ถ้าบิ๊กป้อมต้องการจะช่วยชาติบ้านเมืองแกต้องสำรวจตัวเองซะก่อนว่ามาเล่นการเมืองเพื่ออะไร
อนาคตของประเทศกำลังจะเจออะไร ศัตรูของชาติที่จะทำให้ชาติชิบหาย มันกำลังมา ไอ้เลือกตั้งสองบัตร แล้วมึงสู้บักเหลี่ยมได้ไหม มันมีเงินเป็นแสนล้าน มึงต้องมีแนวร่วม มึงต้องมองการณ์ไกล และรักษาชาติ สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เอาไว้ มึงต้องมีแนวร่วม ไม่ใช่มึงเที่ยวด่าแนวร่วม มึงมาเที่ยวขู่เข็นแนวร่วม กวนตีนแนวร่วม ไม่ได้ บิ๊กป้อม ต้องด่าเด็ก เพราะบิ๊กป้อมไม่ได้ทำเอง แต่เด็กแกทำ เด็กที่ทำผมรู้จัก
“มันก็นักเลง พวกนี้ผมรู้จักหมด เสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) อยู่กับผม ถูกยิงไปเสียแล้ว โดยที่กรุงเทพฯ มีนักเลงเป็นกลุ่มๆ เขาคุมกันเป็นโซนๆ มี เสธ.หิมาลัย ผมรู้จักหมด มาไหว้ผม ตอนนี้ก็เดินตามหลังบิ๊กตู่ มี เสธ.ตึ๊ง (พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ) แต่เดิมมาเยี่ยมผมที่บ้าน แล้วก็มีไอ้ธรรมนัส เวลามีปัญหาอะไรต่างๆ ผมก็ให้ เสธ.แดง ไปเคลียร์ เวลาชาวบ้านมาฟ้อง ให้ เสธ.แดง ไปเคลียร์กับธรรมนัส นี่คือผมรู้จัก
คือ ผมไม่ใช่นักเลง แต่นักเลงเรียกพี่ ธรรมนัสก็ยังเรียกพี่ แล้วผมไม่ยุ่ง ผมอยู่คนละพรรค ผมโกหกไม่เป็น นักข่าวอยู่เต็ม ผมโทรศัพท์หาธรรมนัส บอกให้ระวังปากนะน้อง ให้ระวังการเดินเกมทางการเมือง มันเพิ่งมาเล่นการเมือง เรียกว่ายังอ่อนอาวุโสทางการเมือง ยังไร้เดียงสาทางการเมือง บิ๊กป้อมต้องดึงๆ ไว้บ้าง ไม่งั้น ปล่อยธรรมนัสมาก แล้วธรรมนัสไม่รู้การเมือง มาเล่นการเมืองก็ยังไม่ค่อยเป็น” ไตรรงค์ กล่าว 15 มกราคม 2565
หากดูจากสิ่งที่ ‘ไตรรงค์’ พูด จะเห็นเค้าลาง รทสช. ที่จะเป็นพรรค ‘เชิงอุดมการณ์’ ในการชู พล.อ.ประยุทธ์ ในภารกิจปกป้องสถาบันหลัก พร้อมสกัด ‘ขั้วทักษิณ’ ทว่าในฝั่ง ‘บิ๊กป้อม’ ที่ยังอยู่ พปชร. ที่ไม่เคยปิดประตูจับมือ ‘เพื่อไทย’ แต่โยนให้เป็นเรื่องในอนาคตหลังเลือกตั้ง เมื่อถึงเวลานั้น ‘บิ๊กป้อม’ จะทอดสะพานถึง ‘เพื่อไทย’ แค่ไหน หรือสุดท้ายแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นการ ‘แสร้งทำ’ ของ พล.อ.ประวิตร ตามแผนของ ‘พยัคฆ์เฒ่า 3ป.’ ซึ่งจุดชี้ชะตาสำคัญอยู่ที่ กม.เลือกตั้ง ส.ส. จะจบที่รูปแบบใด สิ่งที่เกิดขึ้นขั้ว ‘3ป.’ กำลัง ‘แตกพรรค’ เพื่อรองรับ ‘กติกาเลือกตั้ง’ ในอนาคตหรือไม่
แต่อย่าลืมว่า ‘คนใกล้ตัว’ ของ พล.อ.ประวิตร บางคน มีสัมพันธ์แนบชิด ‘ขั้วชินวัตร’ และก่อนหน้านี้เคยมี ‘ปฏิบัติการล้มนายกฯ’ กลางสภาฯ มาแล้ว แต่ ‘บิ๊กตู่’ ไหวตัวทัน จึงเอาตัวรอดมาได้ จึงอดคิดไม่ได้ว่า จนถึงวันนี้ ‘เล่นการเมือง’ กี่หน้ากันแน่ ? เพราะการเมือง ‘ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูที่ถาวร’ และไม่มี ‘สูตรสำเร็จรูป’ ใดๆ ทั้งสิ้นด้วย
เมืองไทย อะไรก็เกิดขึ้นได้ !
สัญญาณล่าสุดที่ ‘บิ๊กตู่’ เตรียมไป รทสช. คือการตั้ง ‘ไตรรงค์ สุวรรณคีรี’ อดีตรองนายกฯ ที่เพิ่งลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็น ‘ที่ปรึกษานายกฯ’ คนใหม่ ให้รับผิดชอบนั้นคือเรื่องนโยบายและการปราศรัย ซึ่งเป็นที่จับตามองว่า เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง โดย พล.อ.ประยุทธ์ และ ‘ไตรรงค์’ ถูกจับตามองจะไปอยู่กับ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ทั้งคู่
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคม 2565 ‘ไตรรงค์’ ขณะเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษา ปชป. ขึ้นเวทีปราศรัยในรอบ 8 ปี สนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ชุมพร กล่าวซัด ‘บิ๊กป้อม’ เต็มๆ เพื่อกระทบชิ่งไปถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขณะเป็นเลขาธิการ พปชร. ชนิดที่ ‘เต็มคาราเบล’ พร้อมขยี้ถึงกระแส ‘ดีลข้ามขั้ว’ ที่ถูกจับสัญญาณนี้ได้มาตั้งแต่ปี 2564 ในเรื่องระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หารจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ด้วย 100 ซึ่งสูตรนี้ถูกมองว่าเข้าทาง ‘เพื่อไทย’ ซึ่งในขณะนั้นท่าทีของ พปชร. กับ เพื่อไทย ต่างดูแล้ว ‘จูบปากกัน’ ทำการเมือง
โดย ‘ไตรรงค์’ กล่าวตอนหนึ่งว่า บิ๊กป้อมกับผมรักกัน สนิทกัน โดยส่วนตัวเป็นคนคบได้ ช่วยกันได้ นั่นคือการเอาใจช่วย ขึ้นรถไปแล้ว อย่าพึ่งเคลื่อน ให้แกขึ้นจบก่อน เพราะนักข่าวตามมาก แกยังไม่ได้ตอบ ก็ลุ้นให้แกตอบว่า ‘ผมไม่รู้’ นี่ลุ้นทุกที กับบิ๊กป้อม ผมแก่กว่า 4 เดือน ตอนผมเป็นรองนายกฯ แกเป็น รมต.กลาโหม แกก็เรียกพี่รงค์ บิ๊กตู่ก็เรียกผมพี่รงค์ อนุพงษ์ก็เรียกผมพี่รงค์ ส่วน พล.อ.ประวิตร ก็เรียกผมว่าพี่ แต่ผมบอกอย่ามาเรียก เราเกิดปีเดียวกัน ไม่ได้พี่ ผมเช็คแล้ว พี่แก่กว่าผม 4 เดือน ทหารถือเป็นวินัย วันเดียวก็เรียกพี่ ก็เรียกพี่เรียกน้องกันมาตลอด
ผมผิดหวังบิ๊กป้อม คือแกเป็นผู้ใหญ่ แล้วมาเล่นการเมืองนี้ดี เราอย่าไปรังเกียจไม่ว่าเป็นทหารหรือพลเรือนเป็นประโยชน์กับประเทศ เพราะเป็นคนใต้ทั้งหมด แต่ด้วยผมอยู่กับพล.อ.เปรมนาน ผมก็เลยเข้าใจว่าคนที่เป็นรัฐบุรุษ ซึ่งคนที่เป็นรัฐบุรุษเขาต้องมองการณ์ไกล เห็นผลประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของพรรค เค้าจะต้องเห็นผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าบุคคลในพรรค ถ้าบิ๊กป้อมต้องการจะช่วยชาติบ้านเมืองแกต้องสำรวจตัวเองซะก่อนว่ามาเล่นการเมืองเพื่ออะไร
อนาคตของประเทศกำลังจะเจออะไร ศัตรูของชาติที่จะทำให้ชาติชิบหาย มันกำลังมา ไอ้เลือกตั้งสองบัตร แล้วมึงสู้บักเหลี่ยมได้ไหม มันมีเงินเป็นแสนล้าน มึงต้องมีแนวร่วม มึงต้องมองการณ์ไกล และรักษาชาติ สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เอาไว้ มึงต้องมีแนวร่วม ไม่ใช่มึงเที่ยวด่าแนวร่วม มึงมาเที่ยวขู่เข็นแนวร่วม กวนตีนแนวร่วม ไม่ได้ บิ๊กป้อม ต้องด่าเด็ก เพราะบิ๊กป้อมไม่ได้ทำเอง แต่เด็กแกทำ เด็กที่ทำผมรู้จัก
“มันก็นักเลง พวกนี้ผมรู้จักหมด เสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) อยู่กับผม ถูกยิงไปเสียแล้ว โดยที่กรุงเทพฯ มีนักเลงเป็นกลุ่มๆ เขาคุมกันเป็นโซนๆ มี เสธ.หิมาลัย ผมรู้จักหมด มาไหว้ผม ตอนนี้ก็เดินตามหลังบิ๊กตู่ มี เสธ.ตึ๊ง (พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ) แต่เดิมมาเยี่ยมผมที่บ้าน แล้วก็มีไอ้ธรรมนัส เวลามีปัญหาอะไรต่างๆ ผมก็ให้ เสธ.แดง ไปเคลียร์ เวลาชาวบ้านมาฟ้อง ให้ เสธ.แดง ไปเคลียร์กับธรรมนัส นี่คือผมรู้จัก
คือ ผมไม่ใช่นักเลง แต่นักเลงเรียกพี่ ธรรมนัสก็ยังเรียกพี่ แล้วผมไม่ยุ่ง ผมอยู่คนละพรรค ผมโกหกไม่เป็น นักข่าวอยู่เต็ม ผมโทรศัพท์หาธรรมนัส บอกให้ระวังปากนะน้อง ให้ระวังการเดินเกมทางการเมือง มันเพิ่งมาเล่นการเมือง เรียกว่ายังอ่อนอาวุโสทางการเมือง ยังไร้เดียงสาทางการเมือง บิ๊กป้อมต้องดึงๆ ไว้บ้าง ไม่งั้น ปล่อยธรรมนัสมาก แล้วธรรมนัสไม่รู้การเมือง มาเล่นการเมืองก็ยังไม่ค่อยเป็น” ไตรรงค์ กล่าว 15 มกราคม 2565
หากดูจากสิ่งที่ ‘ไตรรงค์’ พูด จะเห็นเค้าลาง รทสช. ที่จะเป็นพรรค ‘เชิงอุดมการณ์’ ในการชู พล.อ.ประยุทธ์ ในภารกิจปกป้องสถาบันหลัก พร้อมสกัด ‘ขั้วทักษิณ’ ทว่าในฝั่ง ‘บิ๊กป้อม’ ที่ยังอยู่ พปชร. ที่ไม่เคยปิดประตูจับมือ ‘เพื่อไทย’ แต่โยนให้เป็นเรื่องในอนาคตหลังเลือกตั้ง เมื่อถึงเวลานั้น ‘บิ๊กป้อม’ จะทอดสะพานถึง ‘เพื่อไทย’ แค่ไหน หรือสุดท้ายแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นการ ‘แสร้งทำ’ ของ พล.อ.ประวิตร ตามแผนของ ‘พยัคฆ์เฒ่า 3ป.’ ซึ่งจุดชี้ชะตาสำคัญอยู่ที่ กม.เลือกตั้ง ส.ส. จะจบที่รูปแบบใด สิ่งที่เกิดขึ้นขั้ว ‘3ป.’ กำลัง ‘แตกพรรค’ เพื่อรองรับ ‘กติกาเลือกตั้ง’ ในอนาคตหรือไม่
แต่อย่าลืมว่า ‘คนใกล้ตัว’ ของ พล.อ.ประวิตร บางคน มีสัมพันธ์แนบชิด ‘ขั้วชินวัตร’ และก่อนหน้านี้เคยมี ‘ปฏิบัติการล้มนายกฯ’ กลางสภาฯ มาแล้ว แต่ ‘บิ๊กตู่’ ไหวตัวทัน จึงเอาตัวรอดมาได้ จึงอดคิดไม่ได้ว่า จนถึงวันนี้ ‘เล่นการเมือง’ กี่หน้ากันแน่ ? เพราะการเมือง ‘ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูที่ถาวร’ และไม่มี ‘สูตรสำเร็จรูป’ ใดๆ ทั้งสิ้นด้วย
เมืองไทย อะไรก็เกิดขึ้นได้ !