‘อภิสิทธิ์’ มอง ‘ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย’ จับมือ คะแนนเทไป ‘พรรคประชาชน’

31 ส.ค. 2567 - 09:27

  • ‘อภิสิทธิ์’ ไม่แปลกใจ ‘ประชาธิปัตย์’ ร่วมรัฐบาล ‘เพื่อไทย’ บอกเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว

  • ยอมรับกระทบจิตใจ ‘แฟนคลับ’ รุนแรง เย้ยพรรคไม่ได้อะไร ได้แค่ตำแหน่งมา

  • มอง ‘ประชาธิปัตย์’ จับมือ ‘เพื่อไทย’ คะแนนจะเทไป ‘พรรคประชาชน’

  • ชี้เสียโอกาสสร้างพื้นที่ใหม่การเมือง ให้ประชาชนที่รู้สึกว้าเหว่

  • เมินถูกกล่าวหาเป็น ‘แพะรับบาป’ หลัง ‘อิ๊งค์’ อ้างไม่มีผู้บริหารปี 53 อยู่แล้ว เพราะรู้เป็นเหตุความขัดแย้ง

  • ลั่นพร้อมกลับมากอบกู้ศรัทธา ‘ประชาธิปัตย์’ เมื่อมีอุดมการณ์แบบเดิม

Abhisit_commented_on_collaboration_between_Democrat_Party_and_Pheu_Thai_Party_SPACEBAR_Hero_58e7fd9dba.jpg

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นถึงกรณีการร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทย ว่า “สิ่งแรกต้องบอกว่า ไม่ได้แปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่มองเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว และจริง ๆ แล้ว เป็นเหตุผลที่วันที่ผมลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่เข้าไปคุยกับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน ก็เข้าใจว่าทิศทางจะเป็นอย่างนี้ ผมถึงได้ตัดสินใจที่จะลาออกมา เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้เลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร และทราบมาตลอดว่า มีความพยายามในการติดต่อกันมาแบบนี้

ในฐานะที่ผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นเวลานานและผูกพันอยู่กับพรรค เช่นเดียวกับคนอีกจำนวนมาก ซึ่งยังคบหาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ก็ต้องบอกว่า การกระทำครั้งนี้ กระทบกระเทือนจิตใจของสมาชิก อดีตสมาชิก และผู้สนับสนุนจำนวน และจะสังเกตุเห็นว่า ในบรรดาบุคคลที่ไม่เห็นด้วยในการลงมติเข้าร่วมรัฐบาล ก็เป็นอดีตหัวหน้าพรรคฯ ทั้งสามคนที่ยังมีตำแหน่งอยู่ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าคงส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ในแง่คนที่เคยสนับสนุนพรรคมาอย่างยาวนาน และในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ที่มีคนมาพูดคุยหรือแสดงความคิดเห็นกับผมไปในทิศทางเดียวกันหมด แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็กลายเป็นทิศทางของพรรค ที่ผู้ที่เป็นผู้บริหารก็ต้องเดินหน้าและรับผิดชอบ

ทั้งนี้ ไม่อยากให้เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งในอดีต หรือการยึดติดกับเรื่องเก่า อันนี้เป็นเรื่องที่เขากระทบกระเทือนจิตใจ มองว่ามันขัดกับความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดถือกันมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นแง่ของอุดมการณ์ ที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคกับแนวทางที่พรรคทำงานทางการเมืองมาตลอด

ผมขอย้ำว่า ประชาธิปัตย์ที่อยู่ได้มาอย่างยาวนานในอดีตที่ผ่านมา มีเหตุผลหลัก ๆ นอกเหนือจากแนวคิดแนวทางในการทำงานแล้วก็คือ การพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และไม่ได้มุ่งแสวงหาในเรื่องของอำนาจโดยไม่มีเงื่อนไข นี่คือสิ่งที่ทำให้เป็นความแตกต่างกับหลายหลายพรรคในอดีต และจะสังเกตุเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่พรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปก็ยากที่จะกอบกู้ศรัทธากับคืนมา

ผมสันนิษฐานว่า ทางผู้บริหารพรรคฯ เขาก็มีเหตุผลของเขา แต่ไม่แน่ใจว่า แนวความคิดที่มองว่า เป็นรัฐบาลการเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว ช่วยสร้างผลงานหรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อที่จะเรียกคะแนนนิยมมาเป็นจริงได้ แล้วเนื่องจากจริง ๆ แล้ว สังคมก็มองเห็นชัดเจนว่า การเข้าไปครั้งนี้ ไม่ได้มีผลในเชิงเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลก็มีเสถียรภาพอยู่แล้ว และการเข้าไปร่วมครั้งนี้ ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะมีนโยบายอะไรที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าไปผลักดันในตำแหน่งที่ได้มา ที่จะทำให้คนมองเห็นว่าไปสร้างความแตกต่างเปลี่ยนแปลง แต่เป็นเรื่องที่ผู้ที่ตัดสินใจจะต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป ดังนั้น ผมมองว่าการกระทำครั้งนี้ ส่งผลค่อนข้างรุนแรงกับบรรดาผู้สนับสนุนพรรค ที่สนับสนุนมายาวนาน ผมต้องติดตามไปต่อว่า อะไรจะเกิดขึ้น ในแง่ของผลจากการตัดสินใจครั้งนี้และความรับผิดชอบที่จะตามมา

สำหรับกรณีที่เลขาธิการพรรคฯ ชุดปัจจุบัน ระบุว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้มาโดยตลอด จึงตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อให้พรรคเติบโต อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เดี๋ยวรอพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ในการพ่ายแพ้ที่ผ่านมา ทุกคนก็พูดชัดเจนว่า หลายครั้งเราอาจจะทำด้วยวิธีอื่น แล้วก็ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ก็ได้ แต่ความเป็นประชาธิปัตย์ทำให้เราไม่ทำ เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผมขอย้ำมีคำว่า ที่ประชาธิปัตย์อยู่มายาวนาน ไม่ใช่เพราะว่าอะไรก็ได้เพื่อก้าวเข้าสู่อำนาจ

ส่วนที่มีการอ้างว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ เพราะผู้บริหารเมื่อปี 2553 ไม่อยู่ในพรรคแล้ว อภิสิทธิ์ กล่าวว่า “เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะมอง ไม่ไปตอบโต้หรือวิจารณ์อะไร เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องผู้บริหารยุคในยุคหนึ่ง กรณีนี้เป็นเรื่องของอุดมการณ์ แนวทางของพรรคที่ทำกันมาช้านาน

คนอาจจะบอกว่า พรรคแต่ละยุคแต่ละสมัย อยู่ที่ตัวคนหรืออยู่ที่ผู้บริหารความจริงสิ่งที่จะยึดเหนี่ยว เพราะบุคคลไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้า ความเป็นพรรคคือความคิดอุดมการณ์ ผมไม่ได้เป็นสมาชิกแล้ว แต่ผมคิดว่าผมยังยึดถืออุดมการประชาธิปัตย์อยู่

ส่วนการอ้างเช่นนี้ เหมือนกับให้ ‘อภิสิทธิ์’ เป็นแพะหรือไม่ เจ้าตัวกล่าวว่า ไม่ติดใจอะไร เพราะเหตุผลหนึ่งที่ลาออกมาจากพรรค เพราะรู้ว่าจะเป็นความขัดแย้ง เป็นปัญหา และถือว่าเมื่อพรรคได้เลือกผู้บริหารชุดนี้ ก็ต้องให้ทำงานอย่างเต็มที่ แต่จริง ๆ การตัดสินใจเข้าไปร่วม คิดว่าสังคมก็มองไปในทางเดียวกันว่า ความจำเป็นมันไม่มี

แต่เป็นเรื่องของการอยากเข้าสู่อำนาจมากกว่า หรือความเชื่อที่ว่า การจะประสบความสำเร็จทางการเมืองได้ต้องเข้าไปมีอำนาจ

สำหรับประเด็นที่มีการมองว่า ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทย ก็ต่อสู้กันมายาวนาน สุดท้ายจบแค่ที่ว่ามีอำนาจร่วมกันนั้น ขออย่าไปเจาะจงเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ ตั้งแต่การเลือกตั้งในปีที่ผ่านมา คนจำนวนมากที่สนับสนุนหลากหลายพรรค ก็มีความรู้สึกว่ามีการละทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยบอกกับสมาชิกหรือผู้สนับสนุนไว้

ดังนั้น นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พรรคประชาชน ถูกมองว่าจะมีความเข้มแข็งขึ้น เพราะไม่ได้เข้ามาอยู่ในขบวนการแบบนี้

และต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย สำหรับพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในจุดที่น่าจะมีโอกาสในการสร้างพื้นที่ใหม่ทางการเมือง ให้ประชาชนที่เขามีความรู้สึกว้าเหว่ ว่าความเชื่ออุดมการณ์ ความคิดที่อยากทำการเมืองที่ดีหายไป มันหายไปเกือบหมด และอาจจะไม่ได้เห็นตรงกับพรรคประชาชนในหลายเรื่อง ส่วนในการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้อะไร อภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ได้ตำแหน่ง” เมื่อถามว่า ตอนนี้บางคนมองว่าการเมืองวิปริต-วิกฤติอุดมการณ์แล้ว อภิสิทธิ์ ก็มองว่า เป็นสภาพการเมือง และเป็นอย่างนี้มาระยะหนึ่งแล้ว พอผ่านพ้นตรงนี้ไปแล้ว เข้าทำหน้าที่รัฐบาลตอนนี้ ต้องทำอย่างเดียวคือ สร้างผลงานให้กับประชาชน ที่จะหาทางเรียกคะแนนนิยมกลับมา

สิ่งที่น่าเสียดายคือ ประเทศอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างจะมีปัญหาในเชิงโครงสร้างเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขีดความสามารถทางการแข่งขัน ความเหลื่อมล้ำ สังคมสูงวัย และอีกหลายอย่าง ซึ่งกำลังต้องการระบบการเมืองที่ดีเข้ามาจัดการ ทั้งประสิทธิภาพและคุณธรรม แต่ขณะนี้ ในรอบปีกว่ากว่าที่ผ่านมา เกือบทุกองค์กร ทุกสถาบัน กำลังถูกตั้งคำถาม ทั้งกระบวนการยุติธรรม นโยบายที่ใช้ในการหาเสียง สิ่งเหล่านี้มันบั่นทอนศรัทธา และการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการที่จะทำให้การบริหารประเทศแก้ปัญหายาก ๆ ได้

เมื่อตั้งข้อสังเกตว่า จะทำให้คนที่อกหักจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปเลือกพรรคประชาชนหรือไม่ อภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ผมไปตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ผมได้พูดไปแล้วว่า พรรคประชาชนอยู่อยู่ในจุดที่ค่อนข้างได้เปรียบในแง่ที่ว่า ประชาชนมองว่าพรรคการเมืองต่าง ๆ วนเวียนและอยู่ในวังวนของการแย่งชิงอำนาจ โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความคิดอุดมการณ์”

ใครจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ สำหรับผู้สนับสนุนพรรคที่ร่วมรัฐบาลอยู่ขณะนี้ เขามองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน จะอ้างอย่างเดียวคือ เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคที่เป็นฝ่ายค้านอยู่มาเป็นรัฐบาล แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกวันนี้ไปเพิ่มความเข้มแข็งให้กับพรรคที่เป็นฝ่ายค้านอยู่

ส่วนคะแนนจะสวิงหรือไม่ อภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้อยู่ในการเมือง แต่ได้พบปะกับผู้คน คิดว่าคนจำนวนมากมีความรู้สึกที่ขณะนี้ มีความรู้สึกว่าเขาไม่มีทางเลือก แต่เขาก็คงเลือกพรรคที่ยังไม่มีแผล ยังไม่มีประเด็นในเรื่องของการที่จะค่อยทำอะไรที่มองว่าเป็นการทรยศต่อความคิด ความเชื่อของคนที่เกี่ยวข้อง” เมื่อถามว่า ในมุมของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ อาจกระทบกับฐานเสียง โอกาสในการจะ ‘ฟื้นฟู-กอบกู้พรรคกลับมา’ คิดว่ามีหรือไม่ อภิสิทธิ์ บอกว่า ผมไม่ได้บอกว่าควรจะตัดสินใจทำตามฐานเสียงเสมอไป ปัญหามันอยู่ที่ว่าฐานเสียงด้วยเหตุผลอะไรและรับฟังได้จริงหรือไม่

อย่างที่ผมบอกว่า ไม่ได้มีความจำเป็นในการเสริมเสถียรภาพของรัฐบาล ยังมองไม่เห็นว่านโยบายที่จะเข้าไปผลักดันที่เป็นรูปธรรมที่ประชาชนจะเข้าใจรับรู้ได้ว่าเป็นเรื่องของประชาธิปัตย์จริง ๆ คืออะไร เพราะฉะนั้น จึงทำให้ตรงนี้เป็นเรื่องยากลำบากในการที่จะกอบกู้ศรัทธากับคืนมา

ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาธิปัตย์อาจกลายเป็น ‘พรรคต่ำสิบ’ หรือ ‘สูญพันธุ์’ ได้นั้น อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีใครทราบ แต่ก็หนักใจแทนผู้บริหาร

อยากจะบอกว่า ตรรกะที่บอกว่าถ้าเข้าไปมีอำนาจแล้วมีผลงาน ซึ่งก็ใช้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2562 ซึ่งผมพูดตั้งแต่ตอนนั้นว่า มันไม่ใช่ สำหรับผู้ที่สนับสนุนพรรคมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ คือเรื่องของจุดยืน เรื่องของความมั่ยคง และหลักอ้างอิงในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ

สวนโอกาสที่  ‘อภิสิทธิ์’ จะกลับมากอบกู้พรรคประชาธิปัตย์ อีกครั้งเป็นไปได้หรือไม่ อภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้คิดตั้งพรรค ไม่ได้คิดจะไปไหนอยู่แล้ว แต่ตอนจะกลับมาประชาธิปัตย์ได้ ก็ต้องเป็นอุดมการประชาธิปัตย์แบบที่ผมเข้าใจ” เมื่อถามถึงกรณีที่มีการพูดกันว่า พรรคประชาธิปัตย์บอบช้ำใกล้จะตาย แต่จะกลับมาฟื้นใหม่ได้โดยมี ‘อภิสิทธิ์’ กลับมากอบกู้นั้น เจ้าตัวก็มองว่า “ไม่มีใครทราบอนาคต และการจะกอบกู้อะไรต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว เพียงแต่ให้เวลาในขณะนี้เป็นตัวพิสูจน์ก่อนว่า แนวทางที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันเชื่อ ในที่สุดมันเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริง หลายคนที่วิเคราะห์ก็ผิด และพรรคก็เติบโตไป แต่สำหรับผม ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับการเติบโตด้วยวิธีแบบนี้ จึงอยู่ที่ผู้บริหารเขาจะตัดสินใจอย่างไร” เมื่อถามว่า มีโอกาสสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ บนเส้นทางการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง อภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ด้วยความที่ผมอยู่กับพรรคมานานมาก และรู้จักกับทุกคนที่สนับสนุนไม่มากก็น้อยมาโดยตลอด ผมยังเชื่อว่า มีคนจำนวนมาก ยังมีความผูกพัน ยังมีความรักความเป็นประชาธิปัตย์แบบที่เขาเคยรู้จักผม

วันข้างหน้าผมจะกลับมาตรงนั้นได้หรือไม่ ก็เป็นโจทย์ที่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้”

ส่วนข้อสังเกตที่ว่า พรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ละทิ้งอุดมการณ์ และคำขวัญของพรรคไปหรือไม่ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็บอกว่า ดูเหมือนพรรคเพื่อไทยเขาบอกเองว่า “ประชาธิปัตย์วันนี้ ไม่ใช่ประชาธิปัตย์วันก่อน” ส่วนที่พรรคเพื่อไทยบอกว่า อุดมการณ์คล้ายกันแล้วนั้น ก็ต้องถามพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นคนเขียนหนังสือเชิญเข้าร่วมรัฐบาล สุดท้าย ในฐานะที่อยู่กับพรรคมานาน และต่อสู้กับพรรคเพื่อไทย มายาวนาน คิดว่าสองพรรคนี้คืออุดมการณ์คล้ายกัน หรือมีอุดมการณ์เดียวกันหรือไม่ อภิสิทธิ์ บอกว่า “ถ้าพรรคเพื่อไทย มองว่าพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนไปแล้ว ผมก็มองว่าพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้เปลี่ยน ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง

สิ่งที่หลายคน ไม่ใช่เฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประชาชนออกไปต่อสู้ และหลายเรื่องเป็นสิ่งที่ศาลพิพากษาแล้ว ก็ยังคงดำรงต่อไป เป็นแนวทางของพรรคเพื่อไทย จนถึงปัจจุบัน

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์