เมื่อนายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ ต่างชี้แจงเรื่องการ ‘ช่วยตัวประกันไทย’ กันคนละทีสองที และบางครั้งเนื้อหาก็ไปคนละทาง จึงมีเสียงทักท้วงตามมาว่า ให้ไปประสานข้อมูลกันเสียให้ดีก่อน
โดย องอาจ คล้ามไพบูลย์ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงประเด็นการช่วยเหลือแรงงานไทยที่ถูกกลุ่มฮามาส จับเป็นตัวประกัน ว่า ขณะนี้เป็นเรื่องพี่น้องคนไทยที่อยู่ทางเมืองไทย รู้สึกรู้สึกวิตกกังวลเป็นห่วงอย่างมาก เนื่องจากไม่ทราบว่าถูกจับไปไว้ที่ไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร และมุ่งหวังให้รัฐบาลไทยหาทางช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยให้ได้โดยเร็ว ถึงแม้การช่วยตัวประกันออกมาจะไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามทุกช่องทาง
แต่ท่าทีของผู้นำระดับสูงในรัฐบาล ที่แสดงออกต่อเรื่องการช่วยตัวประกัน ต่างทำให้เกิดคำถามว่า รัฐบาลมีขีดความสามารถ และมีความตั้งใจที่จะดำเนินการในการช่วยตัวประกันมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
เพราะเมื่อนักข่าวถาม เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง และ ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ว่า เรื่องตัวประกันมีสัญญาณบวกหรือไม่ นายกฯ ตอบว่า “ยังไม่มี” แต่ รองนายกฯตอบว่า “มีสัญญาณบวก” คำตอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า รัฐบาลมีความพร้อมในการดำเนินการช่วยเหลือตัวประกันที่เป็นแรงงานไทยหรือไม่
“ขอเรียกร้องให้ทั้งนายกฯ และรองนายกฯ ทำงานประสานเชื่อมข้อมูลตกลงกันให้ดี ถึงท่าทีที่จะชี้แจงในเรื่องสำคัญ เช่น เรื่องการช่วยเหลือตัวประกัน เพื่อให้ญาติพี่น้องของตัวประกัน และคนไทยที่เป็นห่วงกังวลกับการจับคนไทยไปเป็นตัวประกันได้มั่นใจได้ว่า รัฐบาลมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะทำหน้าที่อันสำคัญในฐานะนายกฯ และรองนายกฯ อยู่ขณะนี้”
องอาจ คล้ามไพบูลย์ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

เตือนรัฐบาลระวังท่าที แนะไม่เลือกข้าง
ทางด้าน ตวง อันทะไชย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษาและการกีฬา วุฒิสภา กล่าวถึงความห่วงใยคนไทยต่อสถานการณ์ควาสมไม่สงบในตะวันออกกลาง ว่า สิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทบทวนคือเรื่องท่าทีของรัฐบาลต่อสถานการณ์ หากเราไม่เลือกข้าง จะส่งผลต่อตัวประกันและประชาชนคนไทยที่อยู่ในอิสราเอลกว่า 30,000 คน แต่หากเราเลือกข้างเกินไป ก็จะส่งผลอันตรายต่อการทูตระหว่างประเทศ และส่งผลต่อความมั่นคงในอนาคต แต่เชื่อว่ารัฐบาลก็ทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว และกำลังปรับปรุงท่าทีต่อสถานการณ์ในเวลานี้ ซึ่งเห็นด้วยว่าเราไม่ควรเลือกข้างใดข้างหนึ่งให้มาก ควรจะต้องบอกว่าขอให้ทุกฝ่ายได้พูดคุยกัน เพื่อปกป้องคุ้มครองพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามนี่คือหลักสำคัญ

จี้รัฐบาลทบทวนหลักสูตรการศึกษาไทย เน้น ‘สร้างอาชีพ’ ช่วยเสริมรายได้ในชาติ
ส่วนข้อห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนคนไทยที่อยู่ในพื้นที่คือ ตัวอย่างของประเทศไทยที่จะต้องกลับไปทบทวน เรื่องส่งคนไปทำงานต่างประเทศ หากเป็นประเทศที่เสี่ยง จะมีหลักประกันใดเพื่อคุ้มครองพลเมืองของเรา ทั้งเรื่องค่าแรงค่าตอบแทน ความปลอดภัยในการทำงาน ส่วนนักศึกษาไทยที่ได้ส่งนักศึกษาไปให้ความรู้เรื่องการเกษตรที่อิสราเอลจำนวนมาก และการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของอิสราเอล 80 - 90% มาจากฝีมือของเด็กไทยทั้งนั้น โดยมาจากวิทยาลัยการเกษตร ที่อยู่ในอิสราเอล ซึ่งเรื่องนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องทบทวน เพราะเรามีวิทยาลัยเกษตรทั่วประเทศ แต่เราไม่สามารถสร้างอาชีพให้คนไทยมีรายได้ มีงานทำได้ ทั้งๆ ที่เราเอานักศึกษาไทยไปช่วยอิสราเอล
“ดังนั้น รัฐบาลควรทบทวนหลักสูตรการศึกษาได้แล้วว่า ไม่ต้องมีแล้ว ปวช.-ปวส. แต่ต้องมาพูดถึงหลักความรู้ในการประกอบอาชีพ วิทยาลัยเกษตรบางที่มีครูมากกว่านักเรียน ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกันหมดทั่วประเทศ ซึ่งหลักการพวกนี้มีในอิสราเอล แต่ไทยไม่ได้ทำ เด็กนักศึกษาที่อยู่ในวิทยาลัยเกษตร เรา 79 คน ไม่ใช่สัดส่วนของนักศึกษามหาลัย เป็นคนที่ไปช่วยอิสราเอลทำงาน จึงต้องแสดงความห่วงใย จึงไม่แน่ใจว่าใน 79 คนนี้ จะเป็นหนึ่งในตัวประกันที่กลุ่มฮามาส จับไปหรือไม่”
ตวง อันทะไชย สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
มองรัฐบาลต้องทบทวนปมแรงงาน ‘ยอมเสี่ยงตายเพื่อรายได้’ เชื่อกว่าจะพากลับได้หมดใช้เวลาอีกนาน ถามอีก 3 หมื่นกว่าคน จะทำอย่างไรต่อไป
ส่วนประเด็นแนวคิดยอมอยู่ที่อิสราเอลเพื่อแลกกับการเสี่ยงตาย แต่ไม่ยอมอดตายนั้น มองว่า เรื่องนี้รัฐบาลต้องมาทบทวนเช่นกัน แรงงานบางคนมองความปลอดภัยในชีวิตมาเป็นอันดับรองความยากจน หากใครไม่เผชิญคงไม่ทราบ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแรงงานบางคนระบุว่า หากสถานการณ์ปกติก็จะกลับไปทำงานเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น รัฐบาลต้องคิดแล้วว่า ความยากจนทำให้คนไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสงครามได้ ซึ่งแรงงานเหล่านั้น ก็เป็นหนึ่งในพลเมืองของเรา ดังนั้น เราต้องดูแลแรงงานกลุ่มที่ไม่ได้รับการดูแลจากผู้ประกอบการดีพอ รวมถึงแรงงานกลุ่มที่ไม่ได้รับพาสปอร์ต (Passport) ทั้งนี้ เชื่อว่าในขณะที่ประเทศต่างๆ นำพลเรือนกลับมาได้ทั้งหมด แต่ของเรายังต้องอาศัยเงื่อนระยะเวลาทอดยาวออกไปพอสมควร จึงอยากถามว่า พลเมืองอีก 3 หมื่นกว่าคน เราจะทำอย่างไรต่อไป เพราะคนเหล่านี้หาเงินเข้าประเทศ ช่วยสร้างครอบครัวให้มีอาชีพมีรายได้มีงานทำ รัฐบาลก็ได้ภาษีจากคนกลุ่มนี้
“เชื่อว่าหากเราจัดสรร ระบบให้ดี เราสามารถยกระดับเรื่องความปลอดภัยพลเมืองของเราได้ ดังนั้น สถานการณ์ในอิสราเอลที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง”
ตวง อันทะไชย สมาชิกวุฒิสภา (สว.)

กระตุกไม่นำประเทศ-คนไทยเข้าสู่ความขัดแย้ง หวังบางประเทศเปิดน่านฟ้า
เมื่อถามถึงทิศทางการเจรจาปล่อยตัวประกัน มองว่า ไทยต้องไม่เลือกข้าง เราควรมองหลักการใหญ่ว่าทำอย่างไรจะสามารถปกป้อง คุ้มครองพลเมืองผู้บริสุทธิ์ของทั้ง 2 ฝ่าย คือหลักการสำคัญ หากเราพูดได้เช่นนี้ เราก็จะสามารถบินข้ามน่านฟ้าเขาได้ เพื่อปกป้องประชากร ทั้งจากประชาคมโลก และจากประเทศต้นทางที่เกิดปัญหา จะต้องไม่นำประเทศและพลเมืองของเราไปสู่ความขัดแย้ง ดังนั้น ในช่วงหลัง กระทรวงการต่างประเทศได้มีการปรับตัว และประเทศไทยต้องปรับระยะห่างของเรื่องนี้ให้ได้
“ไม่ได้ว่าอะไรใคร แต่รัฐบาลที่แล้วทำมาดีแล้ว เช่น ระยะห่างกับซาอุดีอาระเบีย แต่ครั้งนี้ เราต้องกลับไปคุยกับเขาใหม่ ที่ผ่านมามันดีมากแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า เราต้องไปเริ่มคุยกับซาอุฯใหม่ แต่ในเมื่อมันเกิดปัญหา เราก็ต้องกลับมาเรียนรู้และทบทวน”
ตวง อันทะไชย สมาชิกวุฒิสภา (สว.)

‘มท.1’ เผยคุย ‘ทูตไทยในอิสราเอล’ ยันทุกฝ่ายทำงานหนัก ขอช่วยส่งกำลังใจแคล้วคลาดปลอดภัย
ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล ว่า รัฐบาลระดมทุกสรรพกำลังในภารกิจนี้ ต้องขอขอบคุณเอกชนด้วย ที่ให้ความร่วมมือนำอากาศยานไปรับพี่น้องที่มีความประสงค์จะกลับมายังประเทศไทย ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพอากาศ และการบินไทย ในการประสานงาน
ล่าสุด ได้มีโอกาสหารือกับ พรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล รับทราบว่า เจ้าหน้าที่เองก็เหนื่อยมาก ตัวท่านทูตนอนวันละ 2-3 ชั่วโมง ต้องเร่งขึ้นทะเบียน ติดต่อคนไทย และประสานงานให้พี่น้องคนไทยเหล่านั้นได้กลับบ้านให้เร็วที่สุด และเป็นการทำงานในสถานการณ์เสี่ยงเช่นกัน ขอให้คนไทยส่งกำลังใจไปยังคนที่ปฏิบัติงานตรงนั้นด้วย เพราะไม่ใช่แค่ผู้ใช้แรงงาน แต่ยังมีคนอื่นๆ ด้วย ขอให้ทุกคนแคล้วคลาดปลอดภัย

ย้ำเร่งระดมช่วยแรงงานไทยกลับบ้าน ขอบคุณ จนท.ทุ่มเททำงาน
“สำหรับกระทรวงมหาดไทย เราจะทำให้เกิดความมั่นใจว่า ครอบครัวแรงงานที่อยู่เมืองไทย จะต้องได้รับการดูแล โดยทันทีที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ได้สั่งการให้หน่วยงานเข้าไปสำรวจครอบครัวของแรงงาน ที่ไปทำงานยังอิสราเอล ว่ามีความต้องการให้ช่วยเหลืออย่างไรบ้าง กรณีที่มีปัญหาเรื่องเงินที่อาจจะขาดส่งเพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทางกระทรวงมหาดไทย ต้องหาทางช่วยเหลือ นอกจากนั้น เรายังลงไปให้กำลังใจด้วย ต้องให้รู้ว่าครอบครัวพวกเขา ได้รับการดูแล ไม่ถูกทอดทิ้ง ทราบมาว่าทางเจ้าหน้าที่ ทำงานอย่างรวดเร็ว เข้าถึงทุกพื้นที่ ต้องขอขอบคุณในการทุ่มเททำงาน”
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย
นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็นรองนายกฯ กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน ที่เดินทางไปยังอิสราเอล เพื่อประสานความช่วยเหลือนำคนไทยกลับบ้าน ส่วนที่ต้องการอยู่ต่อ ทราบว่าท่านได้ประสานดูแลเรื่องความปลอดภัยให้แล้ว ขอขอบคุณในการทำงานอย่างเต็มที่