‘ครม.’ คลอด 7 มาตรการ แก้ปัญหา ‘ปลาหมอคางดำ’

30 ก.ค. 2567 - 07:42

  • ‘ครม.’ เห็นชอบ 7 มาตรการ แก้ปัญหา ‘ปลาหมอคางดำ’

  • ‘รมช.เกษตรฯ’ เผยไม่ปิดแนวคิดใช้ ‘ไซยาไนด์’ กำจัด

  • แต่ขอไตรตรองก่อน หวั่นกระทบระบบนิเวศ

Cabinet_approves_7_measures_to_solve_the_blackchin_tilapia_problem_SPACEBAR_Hero_b3899ac6d3.jpg

เรียกได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ซัดใส่รัฐบาลเข้าอย่างจัง สำหรับกรณีของ ‘ปลาหมอคางดำ’ และสังคมกำลังจับจ้องถึงมาตรการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม 

ขณะที่ล่าสุด เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานมาตรการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ โดยมีการตั้งคณะทำงานมาแก้ไขปัญหา พร้อมเสนอร่างการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ 7 มาตรการ ทั้งระยะสั้น-กลาง และยาว

ทางด้าน อรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวขอบคุณ ครม.ที่เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรฯ ได้เสนอ 7 มาตรการ แก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ด้วยวาจา และสัปดาห์หน้าจะเสนอด้วยเอกสาร ซึ่ง 7 ข้อนั้นประกอบด้วย

  1. จำเป็นต้องกำจัดและนำปลาหมอคางดำ ออกจากระบบนิเวศของไทยให้มากที่สุด
  2. มาตรการรอการกำจัด - ต้องรอให้ปลาหมอคางดำลดลง หลังจากนั้น จะใช้วิธีธรรมชาติบำบัด โดยการปล่อยปลานักล่าลงไป อาทิ ปลากระพง ปลาอีกง ที่เราเชื่อว่าในช่วงเวลาที่เหมาะและพื้นที่ที่เราศึกษามาแล้ว โดยแต่ละพื้นที่จะใช้ปลานักล่าไม่เหมือนกัน ซึ่งจะช่วยลดปริมาณปลาหมอคางดำได้มากขึ้น
  3. นำปลาหมอคางดำที่จับขึ้นมาได้ไปใช้เรื่องอื่น ๆ โดยตั้งเป้าภายในปีนี้จนถึงกลางปีหน้า เราจะจับให้ได้ไม่ต่ำกว่า 4 พันตัน หรือ 4 ล้านกิโลกรัม
  4. มาตรการเฝ้าระวังไม่ให้มีการแพร่ระบาดไปพื้นที่อื่น
  5. ทำความเข้าใจเรื่องการแพร่ระบาดกับประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ 17 จังหวัดที่มีการแพร่ระบาด
  6. ใช้การวิจัย-นวัตกรรมเข้ามาช่วย เช่น การเหนี่ยวนำโครโมโซม จาก 2n เป็น 4n ซึ่งจะทำให้ปลาเป็นหมัน และเราจะใช้ ‘ฟีโรโมน’ หรือสารคัดหลั่งในการดึงดูดทางเพศ ในการนำแสง-สีไปล่อให้ปลาหมอคางดำ มารวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อง่ายต่อการจับและกำจัด ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับการใช้ ‘แสงสีเขียว’ ล่อปลาหมึก
  7. การฟื้นฟู - กระทรวงเกษตรฯ จะต้องไปศึกษาแหล่งน้ำที่เราพบปลาหมอคางดำ ในปัจจุบันมี ปลา ปู กุ้ง หอย อะไรบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลให้กรมประมง เตรียมเพาะพันธุ์สัตว์เพื่อคืนระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ให้กลับมา

สำหรับเรื่องข้อเสนอของนักวิชาการ ที่ให้ใช้ ‘ไซยาไนด์’ กำจัดปลาหมอคางดำนั้น เป็นข้อเสนอมาจากนักวิชาการที่ไม่ได้อยู่สังกัดกระทรวงเกษตรฯ

เราไม่ปิดโอกาสให้เสนอแนวความคิด แต่ในมาตรการต่าง ๆ ที่เราจะใช้ยาแรง ก่อนที่เราจะทำต้องติดและไตร่ตรองให้ดีก่อน เพราะสังคมไทยและระบบนิเวศ จะได้รับผลกระทบจากมาตรการต่าง ๆ ที่เราออกไป ดังนั้น มาตรการหลักของเราคือ ทำงานร่วมกับชาวประมง ที่ถือเป็นนักล่ามือหนึ่ง ส่วนมาตรการอื่น ๆ เราจะค่อย ๆ พิจราณาตามสถานการณ์ต่อไป

อรรถกร ศิริลัทธยากร

‘นายกฯ’ ห่วงสถานการณ์น้ำ สั่ง ‘ก.เกษตรฯ’ ดูแล เตรียมประชุมรับมือ 5 ส.ค.

ขณะเดียวกัน ในการแถลงของนายกรัฐมนตรี ยังชี้ให้เห็นถึงขณะนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน หลายพื้นที่ฝนตกต่อเนื่องทำให้มีปัญหาน้ำท่วม จึงสั่งการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสหกรณ์, กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงาความมั่นคงบูรณาการการทำงานในการจัดการปัญหาน้ำทั้งระบบ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ ได้ลงพื้นที่ภาคตะวันออก ไปตรวจสถานการณ์น้ำ

โดยรายงานว่า ยังสามารถควบคุมได้อยู่ แต่ในพื้นที่ภาคอีสานน่าจะมีปัญหาหนัก ร.อ.ธรรมนัส จึงต้องลงไปตรวจ และอยากให้เตรียมความพร้อมรับมือพื้นที่ที่มีน้ำท่วมซ้ำซาก โดยในวันที่ 5 สิงหาคม จะเดินทางไปประชุมบูรณาการแผนการจัดการเรื่องน้ำ ทั้งระยะสั้น กลาง ยาว ที่กรมชลประทาน เพื่อหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่

นอกจากนี้ ยังสั่งการให้กระทรวงกลาโหม ทำงานร่วมกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยให้ทหารมาช่วยเหลือดูแลหากเกิดปัญหาน้ำท่วม แต่เหนือสิ่งอื่นใด ต้องไปดูในพื้นที่ที่ท่วมแล้วท่วมอีก เพื่อให้ป้องกันได้ดีกว่ามาหาทางแก้ไขกันภายหลัง

‘ธรรมนัส’ ยัน ‘ภาคเหนือ’ คุมได้ ‘ภาคตะวันออก’ ยังเอาอยู่ แม้อ่างเก็บน้ำ 4 แห่งล้น

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคเหนือ แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ที่ไหลสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้สถานการณ์ยังอยู่ในปริมาณที่เราสามารถควบคุมได้อยู่ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่รับน้ำจากทุกสาขา มีปริมาณน้ำมากกว่าปีที่แล้ว แต่เรามีการบริหารจัดการและเฝ้าระวังน้ำในลำน้ำสาขา เพื่อไม่ให้มีปัญหากระทบต่อประชาชน ทั้งภาคเกษตร หรือบ้านเรื่อนประชาชน

ส่วนภาคตะวันออก เนื่องจากมีปริมาณฝนตกหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยในจังหวัดตราด อ.เมือง และ อ.เขาสมิง ซึ่งวานนี้ (29 ก.ค.) ลงพื้นที่ จ.ตราด - จ.จันทบุรี และสั่งการหน่วยงานเกี่ยวข้องควบคุมสถานการณ์น้ำ หากไม่มีปริมาณฝนตกลงมาเพิ่มเติม เราก็ยังมีความมั่นใจว่า น้ำในภาคตะวันออกยังสามารถควบคุมได้

ซึ่งอ่างเก็บน้ำทั้งหมด 7 แห่ง ณ เวลานี้ 4 แห่งได้ล้น แต่ก็สามารถบริหารจัดการได้ อีก 3 ยังต้องปริมาณน้ำในการเก็บไว้ใช้ในฤดูแล้วต่อไป ขณะที่ จ.จันทรบุรี สถานการณ์น้ำยังสามารถควบคุมได้ ขณะที่ภาคใต้ ยังไม่ถึงเวลาที่ฝนตกหนัก คาดว่าอีก 2 เดือน

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์