กรณี ‘นช.ทักษิณ ชินวัตร’ พักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งจะครบ 120 วัน ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ กำลังกลายเป็นปมร้อนเขย่า ‘รัฐบาลเศรษฐา’ แรงขึ้นทุกทีๆ เพราะเรื่องนี้ ถูกสังคมตั้งคำถามตรงๆ ถึงประเด็น ‘2 มาตรฐาน’ และ ‘อภิสิทธิ์เหนือชาวบ้าน’ ที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้รับอย่างสะดวกโยธิน
อย่างวันนี้ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย พิชิต ไชยมงคล พร้อมมวลชน ร่วมชุมนุมทวงถาม เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณีทักษิณพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลตำรวจ จะครบ 120 วัน โดยชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่มีส่วนที่เกี่ยวข้องทั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยังคงเงียบ และอ้างว่า ทักษิณ ป่วย และหากเอาใช้บรรทัดฐาน โดยมี ทักษิณ เป็นตัวตั้ง แล้วเอาระเบียบมาเป็นข้ออ้าง ทำให้มาตรฐานกระบวนการยุติธรรมต่ำลง โดยเฉพาะการออกระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ ของกรมราชทัณฑ์ ทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว
รัฐบาลนี้บริหาร 4 เดือน มีแต่ต่ำลง และที่นายเศรษฐา ยื่นลาพักร้อนในวันนี้ เพราะหนีเรื่องที่นายทักษิณ ยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้คนอื่นจัดการในเรื่องนี้เนื่องจากกำลังจากครบ 120 วัน ซึ่งไม่มีข้ออ้างอื่น เพราะนายทักษิณ ไม่เคยผ่าตัด ไม่มีพักรักษาตัว ไม่มีการใช้ยา แต่จะครบ 120 วัน ดังนั้น นายเศรษฐา ต้องมีคำตอบให้แก่สังคมก่อนวันที่ 22 ธ.ค.นี้ แต่ผู้นำกลับหนีด้วยการลาพักร้อน 4 วัน ซึ่งเป็นเวลาคาบเกี่ยวกัน เพราะจากกระดานการเมืองคงมีเพียงเหตุผลเดียว และอีกคนที่ต้องตอบในเรื่องนี้ ก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
— พิชิต ไชยมงคล

พร้อมกันนี้ ยังถามด้วยว่า ไม่อายต่อประชาชนและคนเสื้อแดงที่เดินหน้าขึ้นศาล เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งที่สู้พื่อ ทักษิณ ซึ่งทำให้เห็นว่า ประชาชนเคารพในกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยอ้างสิทธิ์ ไม่เคยอ้างระเบียบ มีสำนึกในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสำนึกนี้ ใหญ่กว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของ เศรษฐา และใหญ่กว่าสำนึกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพราะหากรับผิดชอบในกระบวนการยุติธรรม จะต้องตรวจสอบ
จากนั้น กลุ่ม คปท.ได้เคลื่อนไปสมทบกับ นิติธร ล้ำเหลือ (ทนายนกเขา) ที่ศาลฎีกา ส่วนในวันพรุ่งนี้ (20 ธ.ค.) จะเดินทางไปที่อาคารรัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือต่อ สมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิ สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อตรวจสอบว่า ทักษิณ ป่วยจริงหรือไม่

‘ชาญชัย’ จับมือ ‘ทนายนกเขา’ ร้อง ศาลฎีกาฯ ขอไต่สวนบังคับคดีปม ‘นช.ทักษิณ’ ย้ำต้องยึดข้อกำหนดศาลฯ หมวด 9 ข้อที่ 62 ชี้ ‘กรมคุก’ หน่วยงานรัฐ ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ขัดต่อกฏกระทรวงยุติธรรมและระเบียบปี 63
ส่วนช่วง 14.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก และ นิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา ในฐานะทนายความ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ไต่สวนในคดีที่ศาลฎีกาฯ ได้ตัดสินถึงที่สุดแล้ว คือ
1\. คดีหมายเลขดำที่ อม.3/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 ระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์, พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลย ในคดีธนาคารเอ็กซิมแบงค์ปล่อยเงินกู้แก่ประเทศเมียนม่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งศาลฯ พิพากษาว่า จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ไม่รอลงอาญา
2\. คดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 ระหว่าง คตส. โดย ป.ป.ช. เป็นโจทก์, พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 47 คน ในคดีทุจริตโครงการหวยบนดิน ซึ่งศาลมีคำพิพากษาว่า จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
3\. คดีหมายเลขดำที่ อม.9/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ของศาลนี้ ระหว่างอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์, พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ นายทักษิณ เป็นจำเลย ในคดีให้นอมินีถือหุ้น ‘ชินคอร์ป’ และเข้าไปมีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคม ซึ่งศาลพิพากษาว่า จำเลย มีความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ. ป.ป.ช.) มาตรา 100 วรรค 1(2) และมาตรา 122 วรรค 1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 5 ปี นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกก่อนหน้านี้ โดยศาลได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแต่ละคดีแล้ว ทั้งนี้ จำเลยหลบหนีไปต่างประเทศ 16 ปี
แต่กลับปรากฏว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ครอบครัวของจำเลย ได้ยื่นหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษและได้รับการอภัยโทษ ให้ลดโทษจำคุกจากโทษจำ 8 ปี ให้เหลือจำคุก 1 ปี ซึ่งเป็นพระมหากรุณาที่คุณแก่จำเลยและครอบครัวแล้ว แต่เมื่อจำเลยเดินทางเข้าประเทศไทยในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 กลับไม่ได้รับโทษจำคุกจริง โดยมีการอ้างเหตุว่าป่วย ต้องเข้ารับการรักษาตัวใน รพ.ตำรวจ ชั้น 14 โดยกรมราชทัณฑ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นการขัดต่อกฏกระทรวงยุติธรรมและระเบียบปี พ.ศ. 2563 อีกด้วย
ดังนั้น จึงได้ทำคำร้องนี้ ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ดำเนินการไต่สวน กรณีมีบุคคล คณะบุคคล หรือเจ้าหน้าที่ ร่วมกันกระทำให้ไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฯ
ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 หมวด 9 เกี่ยวกับการบังคับคดี ข้อที่ 62 ที่ระบุว่า เมื่อบุคคลภายนอก ยื่นคำร้องหรือคำขอต่อศาลในชั้นบังคับคดีให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในศาลฎีกา อย่างน้อยสามคน เป็นองค์คณะพิจารณาชี้ขาดคำร้องหรือคำขอดังกล่าว
ทั้งสามคดีนี้ ยังอยู่ในอำนาจของศาลฯ ตามคำพิพากษาของศาลฯ อีกทั้งผมเคยทำหน้าที่เป็น อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษา เสนอแนะมาตรการและกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีต สส. ที่ได้ติดตามตรวจสอบเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด จึงขอใช้สิทธิให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 41(3) ที่ระบุให้สิทธิ์ในการฟ้องหน่วยงานรัฐให้รับผิดชอบเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ
— ชาญชัย อิสระเสนารักษ์

‘ชัยธวัช’ จี้รัฐบาลเคลียร์ปม ‘ทักษิณ’ หวั่นระเบียบใหม่ทำ ‘2 มาตรฐาน’ ชี้ได้รับการปฏิบัติเหมือนมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าผู้ต้องขังคนอื่น เตือนอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ขู่ถ้ายังเงียบ ‘ฝ่ายค้าน’ ตรวจสอบแน่
ส่วนประเด็นระเบียบกรมราชทัณฑ์ เรื่องการคุมขังนักโทษนอกเรือนจำ ที่สังคมมองว่าอาจเอื้อประโยชน์ให้กับทักษิณนั้น ชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มองว่าสังคมกำลังจับตาถึงปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรมแบบ ‘2 มาตรฐาน’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง จึงคาดหวังว่าเป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นอีก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้มีการตั้งคำถามเยอะ โดยเฉพาะกรณีทักษิณ ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงระเบียบราชทัณฑ์ในการควบคุมตัวนอกเรือนจำ
ขณะนี้คุณทักษิณ อยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจะครบ 120 แล้ว มันก็เกิดคำถามว่า ทำไมคุณทักษิณ ถึงได้รับการปฏิบัติที่ดูเหมือนมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าผู้ต้องขังคนอื่น เราเห็นด้วยว่าหากผู้ต้องขังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาล โดยที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพไม่เพียงพอ เราเห็นด้วยว่าผู้ถูกคุมขัง ควรได้รับสิทธิ์ออกไปรักษาข้างนอกได้ แต่ที่ผ่านมา มีผู้ต้องขังน้อยมากที่ได้รับสิทธิ์นี้ ผู้ต้องขังหลายคนมีปัญหาสุขภาพรุนแรง แต่ก็ไม่ได้รับสิทธิ์นี้
ชัยธวัช ชี้ให้เห็นว่า คนที่ได้รับสิทธิ์นี้ส่วนใหญ่ เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง มีฐานะ แต่คนธรรมดาไม่เคยได้รับสิทธิ์นี้เลย จึงเกิดคำถามว่าทำไม ทักษิณได้รับสิทธิ์นี้เพียงคนเดียว รักษามา 120 วันแล้ว ทำไมถึงได้รับสิทธิ์นี้อยู่ เรื่องนี้รัฐบาลไม่ควรปล่อยไว้ ควรตอบสังคมให้ชัดเจน และเรื่องนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามกับระเบียบราชทัณฑ์ที่ออกมาใหม่ เพราะปรากฏการณ์นี้ ทำให้คนจำนวนหนึ่งสงสัยว่า ระเบียบที่ออกมาใหม่ จะเอื้อให้กับทักษิณ แบบ 2 มาตรฐานอีกหรือไม่
การควบคุมตัวผู้ต้องขังนอกเรือนจำเป็นเรื่องที่ดี และควรทำมานานแล้ว หลายประเทศที่พัฒนาแล้วก็มีการพัฒนากระบวนการพวกนี้ เพื่อลดจำนวนผู้ต้องขังอยู่ในเรือนจำ แต่หากระเบียบนี้จะถูกใช้ในแบบ 2 มาตรฐาน มีใครได้รับอภิสิทธิ์เพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ ต้องเข้าใจสังคมว่า ทำไมสังคมถึงตั้งคำถามแบบนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลควรตอบคำถามให้ชัดทั้ง 2 กรณี เพื่อให้สังคมสบายใจ ว่าเรื่องนี้ทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม เสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้ได้รับอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น นอกจากนี้ ระเบียบก็ยังมีปัญหา เช่น ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าใครจะได้รับสิทธิ์พิจารณาคุมตัวนอกเรือนจำบ้าง แต่ใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ล้วนๆ ถึงมีปัญหาทั้งเรื่องทักษิณ และระเบียบที่หละหลวม ส่วนประเด็นการเปิดเผยข้อมูล หรือการรักษานั้น ชัยธวัช มองว่า ข้อมูลสุขภาพ เป็นข้อมูลส่วนบุคคล แต่กรมราชทัณฑ์ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า มีเหตุผลที่ฟังได้อย่างไร ว่าทำไมทักษิณ ถึงมีสิทธิ์อยู่โรงพยาบาลเกือบจะ 120 วัน ไม่เหมือนกับนักโทษคนอื่นที่อาจจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพรุนแรง
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลยังเงียบ ฝ่ายค้านจะต้องตรวจสอบแน่นอน และคิดว่าฝ่ายบริหารควรตอบสังคมให้ได้ในเรื่องนี้ อย่าเงียบ และคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก