เรียกว่าเป็น ‘ตระกูลขาไฝว้’ สำหรับ ‘อยู่บำรุง’ จากรุ่นพ่อมาถึงรุ่นลูก ย้อนกลับไปในยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อ 30 กว่าปี ช่วงเวลาที่ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เริ่มเข้ามาทำธุรกิจด้านดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ที่ต้องได้รับ ‘สัมปทานจากรัฐ’ ซึ่งในขณะนั้น ‘เฉลิม อยู่บำรุง’ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่กำกับดูแล อสมท. จึงเกี่ยวข้องกับดาวเทียมด้วย
แต่สุดท้ายเกิดเหตุรัฐประหาร 23ก.พ.34 โดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) นำโดย ‘บิ๊กจ็อด’พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผบ.ทหารสูงสุด ในขณะนั้น บิดาของ บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ทำให้ ‘เฉลิม’ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ
ชนวนเหตุหนึ่งมาจาก ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวหา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม (ลาออกจาก ผบ.ทหารสูงสุด มารับตำแหน่ง – เพื่อน พล.อ.สุนทร จปร.1) ว่าทุจริต และลามไปวิจารณ์คุณหญิงพันเครือ ยงใจยุทธ ภริยา พล.อ.ชวลิต ทำให้ พล.อ.ชวลิต ลาออกจากรัฐบาลชาติชาย และทำให้ พล.อ.สุนทร ไม่พอใจรัฐบาล ด้วย พล.อ.ชวลิต เป็นทั้ง ‘นายเก่า-เพื่อน’
ในขณะนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ท้าชนกองทัพ ชนิดที่ ‘ดักฟัง’ ความเคลื่อนไหว หลังกองทัพยึดรถโอบีของ อสมท. ซอยวัดไผ่เลี้ยง ย่านหนองแขม ด้วยข้อหาใช้คลื่นส่งสัญญาณเดียวกับทหารกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ทำให้ พล.อ.ชาตาย ต้องลงมาเคลียร์ เพื่อให้กองทัพคืนรถโอบีให้ อสมท.
ภายหลัง รสช. ยึดอำนาจรัฐบาลชาติชาย ทำให้ ร.อ.ต.เฉลิม ต้องลี้ภัยไปอยู่สิงคโปร์และเดนมาร์ก พร้อมครอบครัว ก่อนจะประสานขอ ‘บิ๊กจ๊อด’ กลับไทย ช่วงปลายปี 2534 ซึ่งได้รับการอนุญาตให้กลับ
“กลับมานี่ เพราะพี่จ๊อด ท่านอนุญาตให้กลับ เพราะผูกพันกันในฐานะลูกน้องเก่ากับนายเก่า สมัยเป็นทหาร” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวในขณะนั้น
ส่วน ‘ทักษิณ’ ก็ได้มาเชื่อมสัมพันธ์กับ ‘บิ๊กจ็อด’ ย้อนไป 21ก.ย.34 ได้มีการวันลงนามสัญญาการดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ระหว่าง ‘กระทรวงคมนาคม’ (นุกูล ประจวบเหมาะ รมว.กระทรวงคมนาคม ขณะนั้น) กับ ‘บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด’ โดยมี ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กรรมการ ผู้มีอำนาจลงนาม ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี ตั้งแต่ 11 ก.ย. 34 ถึง 10 ก.ย. 64
ต่อมา 18 ธ.ค. 36 เป็นวันทำการยิง ‘ดาวเทียมไทยคม’ ขึ้นสู่วงโคจร ที่ ประเทศเฟรนช์เกียนา ทวีปอเมริกาใต้ โดย ‘ทักษิณ’ ได้เชิญ ‘บิ๊กจ็อด’ ไปร่วมเป็นสักขีพยานด้วย เป็นที่มาของ ‘อมตะวาจา’ ของ ‘ทักษิณ’ ที่กล่าวในงานเลี้ยงรับรองว่า
"ถ้าไม่มีพี่ชายคนนี้ (พล.อ.สุนทร) ก็คงไม่มีวันนี้"
จึงเกิดภาพ ‘บิ๊กจ็อด’ โอบไล่ ‘ทักษิณ’ ส่วน ‘ทักษิณ’ อยู่ในท่ายืนกุมมือ ย่อเข่าเล็กน้อย
ล่าสุดปี 2560 ยุค คสช. ‘บิ๊กแดง-พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์’ ขณะเป็น ‘แม่ทัพภาคที่ 1’ ได้เรียก ‘วัน อยู่บำรุง’ มาพูดคุย หลังโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์ คสช. ถึงขั้นให้ ‘บิ๊กทหาร’ ไปตาย เพราะทำบ้านเมืองล้าหลัง แต่ วัน อยู่บำรุง ได้ลบโพสต์นั้นไป และได้โพสต์ขอโทษ พร้อมนำพวงมาลัยมาขอขมา พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำเนียบฯ ผ่านศูนย์บริการประชาชนฯ และระบุว่าได้พบ ‘บิ๊กแดง’ แล้ว
แต่ในวันนั้น ‘บิ๊กแดง’ ติดภารกิจลงพื้นที่ประชุมร่วมกับนายทหารระดับสูงของประเทศกัมพูชา แต่ระบุว่า ร.ต.อ.เฉลิม เตือนลูก จึงทำให้ต้องออกมาขอโทษ เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม ให้ความร่วมมือ คสช. มาตลอด การโพสต์ข้อความแบบนั้น ไม่รู้คิดอะไร หรืออาจมึนๆ อยู่หรือไม่
สำหรับ พล.อ.อภิรัชต์ แล้วนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เปรียบเป็น ‘ผู้มีกระคุณ’ ที่ดึง ‘บิ๊กแดง’ ขึ้นเป็น ผบ.พล.1 รอ. ที่ดูแลพื้นที่ กทม. ก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร 2557 แสดงถึงความไว้วางใจ เพราะในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชีวิตของ ‘บิ๊กแดง’ ถูกโยกพ้นไลน์อำนาจ ให้ไปเป็น ผบ.พล.ร.11 ฉะเชิงเทรา (ในขณะนั้นยังเป็นหน่วยรบรอง) และ ผบ.มทบ.15 เพชรบุรี
ดังนั้นเรียกว่า ‘บิ๊กแดง’ เป็นน้องรักต่างสายของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกทั้งช่วงที่ ‘บิ๊กแดง’ เป็นนายทหารใน ทบ. จนขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก็มีท่าทีชัดเจนในการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งเบื้องหน้า-เบื้องหลัง ซึ่งในวันนี้ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.อภิรัชต์ ต่างอยู่ใน ‘ตำแหน่งสำคัญ’ ทั้งคู่
หากดูท่าทีของ ‘เฉลิม’ ก็จะพบว่า ‘รู้จังหวะ’ ในการทำการเมือง โดยเฉพาะกับ ‘ทหาร’ ซึ่งสัมพันธ์ขึ้นลงตามสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ ล่าสุด ‘วัน อยู่บำรุง’ ไปสมัครสมาชิก ‘พลังประชารัฐ’ ก็น่าสนใจว่า ทำไมถึงเลือกไปอยู่กับลุง ทั้งที่ ‘เพื่อไทย’ เคยจัดหนักอภิปรายบรรดาลุงๆ ยุคที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านมาแล้ว
‘วัน อยู่บำรุง’ ได้เปิดเผยสัมพันธ์ระหว่าง ‘เฉลิม-บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ ที่มานานกว่า 30 ปี รู้จัก ‘บิ๊กป้อม’ มาตั้งแต่เป็นนายทหาร ‘พันตรี-พันโท’ ในหน่วยทหารภาคตะวันออก (ร.12 รอ. สระแก้ว) ถิ่นบูรพาพยัคฆ์ ซึ่งเป็นยุคที่ ‘บิ๊กป้อม’ รู้จัก นักการเมือง ในพื้นที่นั้น เช่น เสนาะ เทียนทอง เมื่อขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. ทั้งตั้ง จ.ปราจีนบุรี ก็ได้รู้จักกับ ‘เสี่ยไก่-วัฒนา เมืองสุข’ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นขุนพลที่อยู่ใน ‘ขั้วทักษิณ’ ในช่วงเวลาต่อไป
ย้อนไปเมื่อ ธ.ค.62 พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำฝ่ายค้าน ได้ตั้ง ‘เฉลิม’ เป็น หัวหน้าทีมคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่ประเมินวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองเพื่อเสนอต่อหัวหน้าพรรค พร้อมทั้งติดตามควบคุมการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล จัดทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในเดือน ก.พ.63
ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนั้น เวลาการอภิปรายหมดลงก่อน ทำให้ 3 สส.พรรคอนาคตใหม่ (ในขณะนั้น) ไม่ได้อภิปราย และทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่เป็น 1 ใน 3 ป.บูรพาพยัคฆ์ รอดการถูกซักฟอก ส่วน พล.อ.ประวิตร แม้จะถูกอภิปรายฯ แต่ก็ไม่ครบประเด็น ทำให้ ‘รังสิมันต์ โรม’ สส.อนาคตใหม่ (ในขณะนั้น) ต้องอภิปรายนอกสภาฯ ชำแหละเครือข่าย บ้านป่ารอยต่อ-กลุ่มทุน ของ พล.อ.ประวิตร
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ ‘พรรคเพื่อไทย’ ถูกคำครหา ‘มวยล้มต้มคนดู’ หรือไม่ เพราะผู้อภิปรายของพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น ใช้เวลาอภิปรายไปจำนวนมาก ซึ่งคำครหาดังกล่าวมาจาก ‘พรรคอนาคตใหม่ ที่ได้ทำการ ‘วอล์คเอาท์’ ออกจากห้องประชุมสภาฯ
พร้อมกับแถลงข่าวตอบโต้พรรคเพื่อไทยว่า ไม่รักษากติกา-ไม่รักษาวินัยในการใช้เวลา อีกทั้งสลับลำดับรัฐมนตรีในการอภิปราย โดยปกติการอภิปรายไม่ไว้วางใจคนแรกก็คือ นายกรัฐมนตรี ลำดับถัดมาควรเป็น พล.อ.ประวิตร รองนายกฯ (สร.2) แต่กลับนำเอารัฐมนตรีคนอื่นขึ้นมาก่อน และปิดท้ายด้วย พล.อ.ประวิตร และมองว่าเป็นเหมือน ‘มวยล้ม’
อาจเรียกได้ว่า ‘สถานการณ์’ ในวันนั้น คือ ‘คำตอบ’ ในวันนี้ !!