ครบ 9 ปี กับการจากไปของ ‘บรรหาร ศิลปอาชา’ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย ชื่อนี้ ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะ ‘บรรหาร’ ถือเป็นนักการเมืองที่นำร่อง ‘โมเดล’ พัฒนาบ้านเกิดอย่าง ‘สุพรรณบุรี’ แบบชนิดที่เรียกได้ว่า ‘ก้าวกระโดด’ ทั้งระบบสาธารณูปโภคอย่าง การสร้างถนน ระบบชลประทาน สถานศึกษา ยกระดับการเกษตร จนผู้คนต่างเรียกจังหวัดนี้กันว่า ‘บรรหารบุรี’
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ ‘พรรคชาติไทย’ ในขณะนั้น ครองใจชาวสุพรรณบุรีไปเต็มๆ จนกระทั่ง ‘บรรหารบุรี’ กลายเป็นโมเดลให้กับ ‘นักการเมือง’ หลายคน อย่าง ‘บุรีรัมย์’ ที่มีบ้านใหญ่อย่าง ‘เนวิน ชิดชอบ’ ได้พัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง พลิกเมืองบุรีรัมย์จนกลายเป็น ‘เมืองกีฬาระดับโลก’ ได้ จนได้รับขนานนามว่า ‘เนวินบุรี’ เช่นกัน
เมื่อ ‘มังกรสุพรรณ’ อย่าง ‘บรรหาร’ ต้องถึงแก่อนิจกรรมในวันนี้เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ทำให้ ‘ลูกท็อป’ วราวุธ ศิลปอาชา บุตรชายคนสุดท้ายของ ‘บรรหาร’ ต้องรับช่วงต่อ นับเป็นความท้าทายอย่างถึงที่สุด แม้จะมีสมาชิก ‘บ้านใหญ่’ ทยอยลาออกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ บ้านอุทัยธานี และ 2 พี่น้องอ่างทอง ‘ภราดร-กรวีร์ ปริศนานันทกุล’ รวมถึง เจ้าถิ่นศรีสะเกษ ‘สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ’
‘ลูกท็อป’ เอง กลับเข้าใจใน ‘วัฏจักรของการเมือง’ ที่ย่อมมีเข้า มีออก แต่เจ้าตัวไม่ได้ท้อถอย เพราะมองว่า 9 ปีหลังจากที่พ่อจากไปแล้ว มาถึงจุดนี้ได้ เป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย ฉะนั้นทุกนาทีที่เราได้ทำงานอยู่ ก็ถือว่าเป็น ‘โบนัส’ ซึ่งแม้ว่า ‘ชาติไทยพัฒนา’ จะค่อยๆ ลดขนาดลง แต่ ‘ลูกท็อป’ ยังมุ่งมั่นเดินหน้าต่อ เพื่อสานการทำงานของ ‘พ่อบรรหาร’ โดยที่ไม่มองว่า ‘ชาติไทยฯ ตอนนี้ ติดหล่มแล้ว’
“อย่าไปยึดติด เพราะตำนานของคนที่ชื่อว่า บรรหาร ศิลปอาชา ไม่ใช่ตำนานของคนชื่อวราวุธ ในสุพรรณบุรี ผมยืนยันได้เลยว่า จะหา สส.ที่เหมือนคนที่ชื่อ บรรหาร ศิลปอาชา อีก 100 ปีก็หาไม่ได้ เพราะว่า วันนี้ตัวผมเอง อย่าว่าแต่ครึ่งเลย ขอแค่ให้ได้ซัก 1 ใน 10 ของคนชื่อบรรหารก็ดีใจแล้ว ฉะนั้นเราทำงานให้เต็มที่ อะไรจะเกิด เราทำเต็มที่แล้ว”
วราวุธ กล่าว

‘ลูกท็อป’ ของ ‘พ่อบรรหาร’ ยังเล่าอีกว่า พี่น้องประชาชนย่อมคาดหวังว่า การทำงานต้องต่อเนื่อง แต่ต้องกราบขออภัยจริงๆ ทางการเมือง เราไม่สามารถที่จะกระโดดข้ามหรือมีเส้นทางลัดได้ การทำงานก็ต้องใช้เวลาสะสมพรรษา สะสมบารมี วันนี้เราทำงานกันเต็มที่ แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่ตลอดไป ไม่มีอะไรที่เป็นดาวค้างฟ้า ทุกอย่างมีขึ้นแล้วก็จะมีลง มีลงแล้วก็จะมีขึ้น
“สมัยที่พ่อบรรหารอยู่นั้น น่าจะเป็นจุดที่สูงสุดของพรรคชาติไทย พรรคชาติไทยพัฒนา รวมถึงจังหวัดสุพรรณบุรี วันนี้สมาชิกทุกคนพยายามสานต่อในสิ่งที่พ่อได้ทำมา ต้องยอมรับว่า เป็นอะไรที่ท้าทายมาก วันนี้รู้แล้วว่า การสร้างใหม่ ไม่ยากเท่าการรักษาให้อยู่ ซึ่ง 9 ปีผ่านไป เป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอ ทั้งความซับซ้อนในการของบประมาณ หรือแม้แต่รัฐธรรมนูญที่กำหนดไม่ให้ สส.เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการใช้งบประมาณ มันยิ่งเพิ่มความท้าทายในการทำงาน เพราะบริบทของสส.ในเมืองไทย เราเป็นตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ คงจะบอกว่าทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเดียว ชาวบ้านก็คงไม่ยอม”
วราวุธ กล่าว
“ตราบใดที่ยังทำงานการเมือง ตราบใดที่ ‘พี่ท็อป’ ยังทำงานการเมืองอยู่ ก็อยากจะตามหลังเขา เขาหันมา เราก็พร้อมที่จะดูแลเต็มที่”
นี่คือหนึ่งในคำพูดของ ‘เสมอกัน เที่ยงธรรม’ คนที่ ‘ลูกท็อป’ มองว่า พวกเขาคือครอบครัวชาวสุพรรณฯ เช่นกัน

‘เสมอกัน’ เป็น สส.สุพรรณบุรี มา 4 สมัย เริ่มตั้งแต่ยุค ‘ชาติไทย’ ในปี พ.ศ.2548 ก่อนจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองปี พ.ศ.2551 แล้วกลับมาในฐานะ ‘สส.ชาติไทยพัฒนา’ อีกครั้งในปี พ.ศ.2562 จวบจนปัจจุบัน
‘เขา’ คือลูกชายของ ‘จองชัย เที่ยงธรรม’ ผู้ซึ่งอยู่เคียงข้าง ‘บรรหาร’ มาตลอด DNA นี้ จึงถูกถ่ายทอดสืบต่อกันมา ทำให้ ‘เขา’ มุ่งมั่นว่า หากตัวเองความสามารถพอ ก็อยากจะดูแล ‘พี่ท็อป’ ต่อไป เหมือนที่ ‘พ่อจองชัย’ ดูแล ‘พ่อบรรหาร’ นี่เอง
“ไม่คิดจะย้ายไปไหน ผมอยู่กับพี่ท็อป และผมก็เชื่อว่า พี่ท็อปคงไม่ย้ายไปไหน ผมว่า มันเป็นเหตุผลแค่นี้แหละ ไม่แน่ใจว่า ผมจะได้เป็นนักการเมืองจนวันสุดท้ายหรือเปล่า แต่ตราบใดที่ยังทำงานการเมือง และตราบใดที่พี่ท็อปยังทำงานการเมืองอยู่ ก็อยากจะตามหลังเขา เขาหันมา เราก็พร้อมที่จะดูแลหรือช่วยเต็มที่ตามกำลังที่เราจะทำได้”
เสมอกัน กล่าว
สส.สุพรรณบุรี 4 สมัยคนนี้ เล่าว่า การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งสุพรรณฯ ไม่เคยสบาย หนักทุกครั้ง และจะคิดอย่างนี้ไว้ตลอด เราจะได้ไม่ประมาท แต่ก็เชื่อว่า ประสบการณ์และการทำงานในพื้นที่ เป็นสิ่งที่ทำให้คนจะตัดสินใจเลือกผู้แทน ส่วนกระแสของพรรคเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่ก็ยังเชื่อว่า พรรคชาติไทยพัฒนายังครองใจสุพรรณบุรี ดูได้จากการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมา พบว่า ‘กระแส’ ก็ยังสู้ ‘ประสบการณ์’ และ ‘ความตั้งใจทำงาน’ ของผู้แทนที่เขาเลือกไม่ได้

แม้ครอบครัว ‘ชาติไทยพัฒนา’ ดูเหมือนว่าจะเล็กลง แต่ ‘พวกเขา’ ก็ยังคงเหนียวแน่น เพื่อรักษาฐานที่มั่น ‘สุพรรณบุรี’
“เราไม่เคยคิดว่าสุพรรณบุรีเป็นของชาติไทยพัฒนาเป็นของศิลปอาชา เพราะการทำงานในจังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากศิลปอาชาแล้ว ยังมีทั้งเที่ยงธรรม โพธสุธน ประเสริฐสุวรรณ มาตรศรี หรือแม้แต่ครอบครัวของญาติพี่น้องเรา สรชัด สุจิตต์ ล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวใหญ่ แน่นอนมันก็ต้องมีถึงจุดหนึ่งที่มีวันหนึ่งที่ต้องมีคนแยกย้ายห่างกัน หรือว่าอาจจะมีคนเพิ่มใหม่เข้ามา ก็สรุปเพียงแค่ว่า วันนี้เราได้รับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน เราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อสร้างความมั่นใจและลดปัญหาความเดือดร้อนของพวกเขาให้มากที่สุด”
วราวุธ กล่าว

สำหรับ ‘ลูกพญามังกร’ คนนี้ ยังคงเดินหน้าต่อ อนาคตจะสุดที่ตรงไหนก็ค่อยว่ากัน เพียงแค่ 9 ปีที่ผ่านมา ก็เหมือน ‘ฝัน’ ที่เกินเอื้อมแล้ว
“9 ปี มันก็ไกลเกินที่คาดแล้ว ก็ไม่คิดว่าพ่อไม่อยู่แล้ว ยังทำให้พรรคเข้าร่วมรัฐบาลได้ 2 สมัย และยังได้เป็นรัฐมนตรี 2 สมัย ก็เกินคาด เพราะนึกว่าจะไปตั้งแต่ตอนที่พ่อเราเสียแล้ว วันนี้ค่อยๆ เดินไป มันจะไปสุดที่ตรงไหนก็ค่อยว่ากัน ก็สานต่อพ่อให้ดีที่สุด เราไม่เคยคาดหวังว่า เราจะต้องไปตรงนั้นตรงนี้ เอาแค่ว่า ทำวันนี้ให้มันดีที่สุด แล้ววันข้างหน้าก็จะเป็นผลของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้”
วราวุธ กล่าว
และนี่ก็คือ ‘ความในใจ’ ของ ‘ลูกท็อป’ ที่ได้รับมรดกการเมืองจากผู้เป็น ‘พ่อ’ ที่ได้ชื่อว่า เป็นต้นแบบให้กับ ‘นักการเมือง’ อีกหลายต่อหลายคน ถือเป็นโจทย์ข้อใหญ่ของลูกชายคนนี้ว่า ภายใต้ความหวังของพี่น้องชาวสุพรรณฯ จะทำให้บ้านเกิดของพวกเขากลับมาเฟื่องฟูได้อีกครั้งหรือไม่ และที่สำคัญ ก็คือ จะรักษาฐานที่มั่นที่ ‘พ่อบรรหาร’ ปูทางไว้ได้แค่ไหน