มีรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 4/2567 ที่มี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จ.นราธิวาส ยกเว้น อ.สุไหงโก-ลก อ.แว้ง และ อ.สุคิริน , จ.ปัตตานี ยกเว้น อ.ยะหริ่ง อ.ปะนาเระ อ.มายอ อ.ไม้แก่น อ.ทุ่งยางแดง อ.กะพ้อ และ อ.แม่ลาน และ จ.ยะลา ยกเว้น อ.เบตง อ.รามัน อ.กาบัง และ อ.กรงปีนัง) ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2567 และสิ้นสุดลงในวันที่ 19 มกราคม 2568
เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันระงับ ยับยั้งสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาความสงบและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชนในพื้นที่ โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เตรียมนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 15 ต.ค. ต่อไป
ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า ภูมิธรรม ได้ลงนามเสนอชื่อ ฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการ สมช. เป็น เลขาธิการ สมช.คนใหม่ เรียบร้อยแล้ว และจะเสนอชื่อเข้าที่ประชุม ครม.พิจารณาในวันพรุ่งนี้ (8 ต.ค.)
อย่างไรก็ตาม ฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทุความรุนแรงของสงครามระหว่างกลุ่มอิสราเอลและฮามาส ว่า ขณะนี้ได้มีการแจ้งเตือนให้คนไทยพยายามเดินทางออกจากพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ตอนเหนือของประเทศอิสราเอลติดกับเลบานอน แต่ยอมรับว่ามีประชาชนบางส่วนไม่ยอมเคลื่อนย้ายออก
แต่ขณะเดียวกัน มีประชาชนบางส่วนต้องการเดินทางกลับไทย โดยประชาชนจะต้องเป็นผู้ซื้อตั๋วเดินทางกลับเอง และมีภาครัฐเป็นผู้ประสานและอำนวยความสะดวกให้ แต่ทาง สมช.และสถานทูตพยายามติดตามอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงประสานกับประชาชนในพื้นที่อยู่ตลอด
ฉัตรชัย กล่าวว่า มีประชาชนตกค้างในประเทศอิสราเอลประมาณ 28,000 คน ในอิหร่านประมาณ 300 คน และในเลบานอน 100 กว่าคน ซึ่งยังไม่มีการประสานขออพยพกลับไทยแต่อย่างใด