เป็นเวลาเกือบ 3 สัปดาห์แล้วที่ข้อพิพาทระหว่าง ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ กับ ‘ทนายตั้ม’ หรือ ‘ษิทรา เบี้ยบังเกิด’ เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เกิดเป็นประเด็นโต้กันไปมา หลังทนายตั้ม ออกมากล่าวหาว่าชูวิทย์มีพฤติกรรมแฉไปไถไป โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาชูวิทย์ได้ไปยื่นฟ้องทนายตั้มต่อศาลอาญา ฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายอีก 100 ล้านบาท
ล่าสุดวันนี้ (10 เม.ย. 66) ‘ชูวิทย์’ เดินหน้าฟันทนายตั้มซ้ำ ด้วยการไปยื่นเรื่องให้สภาทนายความสอบมรรยาททนายของทนายตั้ม ในประเด็นที่เป็นข้อพิพาท โดยชูวิทย์ มองว่า ‘อาชีพทนายความ’ เป็นอาชีพที่ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม ที่สำคัญต้องเคร่งคัดเรื่องกฎหมาย ไม่กล่าวหาใครโดยไม่หลักฐาน เพราะอาชีพนี้เป็นที่พึ่งของประชาชน แต่พฤติกรรมของทนายตั้ม ที่ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวและโพสต์เฟซบุ๊กกล่าวหาว่าชูวิทย์และลูกชายรับเงินสีเทาอยู่หลายครั้ง โดยไม่มีหลักฐานถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พร้อมหวังว่าทนายตั้มจะได้รับโทษสูงสุด คือถูกลบชื่อออกจากสภาทนายความ และถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ เพื่อให้เป็นตัวอย่างบนพื้นฐานจริยธรรมและศีลธรรมอันดี พร้อมเตือนว่า “ทนายโซเชียลระวังตายเพราะโซเชียล”
‘ชูวิทย์’ ยังมองว่าปัจจุบัน มีทนายความโซเชียลฯ หลายคน ที่หากินกับประชาชนที่ลำบาก ชอบเรียกสื่อไปทำข่าวแต่ไม่ดูแลลูกความให้ดี หวังแค่เรียกราคาและโฆษณาตัวเอง ถือเป็นอันตรายต่อประชาชน จึงอยากให้สภาทนายความจัดการกับแก๊งทนายโซเชียลฯ กลุ่มนี้ด้วย
ด้าน ‘วัชระ สุคนธ์’ กรรมการมรรยาททนายความ สภาทนายความ บอกว่าที่ผ่านมาทนายตั้ม เคยถูกร้องเรียนเรื่องการทำหน้าที่ของทนายมาแล้ว 12 เรื่อง บางเรื่องยกคำร้องไปแล้ว และบางเรื่องอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ส่วนเรื่องที่ชูวิทย์ร้องเรียน ผิดมรรยาททนายความหรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้เพราะต้องดูรายละเอียดก่อน
กรรมการมรรยาททนายความ ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ทนายความที่ถูกลบชื่อออกจากการเป็นทนาย ยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่หากรัฐมนตรีฯ มีความเห็นเหมือนกับสภาทนายความ ทนายความที่ถูกร้องเรียน ก็ยังสามารถฟ้องต่อศาลปกครองให้พิจารณาในนี้ต่อได้ และหากครบกำหนด 5 ปี ที่ถูกลบชื่อออกจากการไปทนายความ สามารถยื่นเรื่องขอเป็นทนายความกับสภาทนายความได้ แต่คณะกรรมการจะพิจารณาว่าสมควรจะให้กลับมาเป็นทนายความได้อีกหรือไม่อย่างไร
ล่าสุดวันนี้ (10 เม.ย. 66) ‘ชูวิทย์’ เดินหน้าฟันทนายตั้มซ้ำ ด้วยการไปยื่นเรื่องให้สภาทนายความสอบมรรยาททนายของทนายตั้ม ในประเด็นที่เป็นข้อพิพาท โดยชูวิทย์ มองว่า ‘อาชีพทนายความ’ เป็นอาชีพที่ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม ที่สำคัญต้องเคร่งคัดเรื่องกฎหมาย ไม่กล่าวหาใครโดยไม่หลักฐาน เพราะอาชีพนี้เป็นที่พึ่งของประชาชน แต่พฤติกรรมของทนายตั้ม ที่ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวและโพสต์เฟซบุ๊กกล่าวหาว่าชูวิทย์และลูกชายรับเงินสีเทาอยู่หลายครั้ง โดยไม่มีหลักฐานถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พร้อมหวังว่าทนายตั้มจะได้รับโทษสูงสุด คือถูกลบชื่อออกจากสภาทนายความ และถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ เพื่อให้เป็นตัวอย่างบนพื้นฐานจริยธรรมและศีลธรรมอันดี พร้อมเตือนว่า “ทนายโซเชียลระวังตายเพราะโซเชียล”
‘ชูวิทย์’ ยังมองว่าปัจจุบัน มีทนายความโซเชียลฯ หลายคน ที่หากินกับประชาชนที่ลำบาก ชอบเรียกสื่อไปทำข่าวแต่ไม่ดูแลลูกความให้ดี หวังแค่เรียกราคาและโฆษณาตัวเอง ถือเป็นอันตรายต่อประชาชน จึงอยากให้สภาทนายความจัดการกับแก๊งทนายโซเชียลฯ กลุ่มนี้ด้วย
ด้าน ‘วัชระ สุคนธ์’ กรรมการมรรยาททนายความ สภาทนายความ บอกว่าที่ผ่านมาทนายตั้ม เคยถูกร้องเรียนเรื่องการทำหน้าที่ของทนายมาแล้ว 12 เรื่อง บางเรื่องยกคำร้องไปแล้ว และบางเรื่องอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ส่วนเรื่องที่ชูวิทย์ร้องเรียน ผิดมรรยาททนายความหรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้เพราะต้องดูรายละเอียดก่อน
กรรมการมรรยาททนายความ ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ทนายความที่ถูกลบชื่อออกจากการเป็นทนาย ยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่หากรัฐมนตรีฯ มีความเห็นเหมือนกับสภาทนายความ ทนายความที่ถูกร้องเรียน ก็ยังสามารถฟ้องต่อศาลปกครองให้พิจารณาในนี้ต่อได้ และหากครบกำหนด 5 ปี ที่ถูกลบชื่อออกจากการไปทนายความ สามารถยื่นเรื่องขอเป็นทนายความกับสภาทนายความได้ แต่คณะกรรมการจะพิจารณาว่าสมควรจะให้กลับมาเป็นทนายความได้อีกหรือไม่อย่างไร
