



31 มกราคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยการกระทำของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เรื่องการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ว่า การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองเสนอให้มาตรา 112 ออกจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร มีเจตนามุ่งหมายที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยยะสำคัญ
ดังนั้นการเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ. . แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ แม้จะไม่ได้รับการบรรจุในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่การเสนอร่างพระราชบัญญัตินี้ได้ดำเนินการโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคผู้ถูกร้อง
ผู้ถูกร้องทั้งสองยอมรับว่า พรรคนำเสนอนโยบายดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ปีพ.ศ.2566 ปัจจุบันยังปรากฏเป็นนโยบายอยู่บนเว็บไซต์ของพรรคผู้ถูกร้องทั้งสอง มีเนื้อหาที่จะแก้ไขทำนองเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสอง มีพฤติการณ์ที่ต้องการลดทอนการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านร่างพระราชบัญญัติ และอาศัยกระบวนการทางนิติบัญญัติสร้างความชอบธรรม ซ่อนเร้นด้วยวิธีการรัฐสภา
นอกจากนั้นผู้ถูกฟ้องทั้งสองยังมีพฤติการณ์รณรงค์หาเสียงทางการเมือง เพื่อเสนอแนวความคิด ความคิดเห็นดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไปผ่านรูปแบบนโยบายอย่างต่อเนื่อง
คณะตุลาการจึงเห็นว่า ผู้ถูกร้องใช้นโยบายพรรคการเมืองโดยนำสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเพื่อหวังผลคะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน ทำให้สถาบันต้องเข้าไปฝักฝ่ายต่อสู้แข่งขันทางการเมือง 'เซาะกร่อน บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข'
นอกจากนี้ สมาชิกผู้ถูกร้องที่ 2 ยังมีพฤติกรรม เป็นนายประกันให้ผู้ที่ต้องคดีมาตรา 112 ด้วย โดยกลุ่มดังกล่าวถือเป็นกลุ่มการเมือง ที่ต้องการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์
ทั้งนี้ ได้อ้างอิงคำปราศัยผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติ ที่พร้อมสนับสนุนการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้บทบัญญัติในการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์หมดสิ้น
ศาลรัฐธรรมนูญได้วางบรรทัดฐานเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขว่า พระมหากษัตริย์ทรงดำรงสถานะเป็นกลางทางการเมือง การกระทำใด ๆ ทั้งการส่งเสริมหรือทำลายให้สถาบันพระมหากษัตริย์ให้สูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมือง หรือดำรงความเป็นกลางทางการเมืองย่อมเป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลายเป็นเหตุให้ สถาบันพระมหากษัตริย์ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง เข้าลักษณะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้กลุ่มผู้ถูกร้องทั้ง 2 ‘เลิกการกระทำ และเลิกการแสดงความคิดเห็นการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายด้วยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และไม่ให้แก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่นิติบัญญัติที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย’
ทั้งนี้ คณะตุลาการ ย้ำว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ขอให้ตระหนัก ว่าการวิจารณ์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เสียดสี อาฆาตมาดร้าย จะมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2561 มาตรา 38 วรรคท้าย ซึ่งจะมีโทษทั้งตักเตือน จำคุก และปรับไม่เกิน 50,000 บาท
อย่างไรก็ดี สำหรับ ‘ธีรยุทธ สุวรรณกษร’ ผู้ยื่นคำร้องให้พิจารณา วันนี้ได้เดินทางมารับฟังคำพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ แต่หลบเลี่ยงการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน แม้ผู้สื่อข่าวจะพยายามติดต่อทางโทรศัพท์แล้ว แต่ทางธีรยุทธไม่รับสาย สื่อมวลชนจะทราบว่าเดินทางกลับแล้ว ตั้งแต่ออกจากห้องพิจารณา