ไม่พลิกโผ ไม่เซอร์ไพร์ส ไม่เกินคาด และไม่แหกบทวิเคราะห์ สำหรับหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ที่ทรานฟอร์มมาจากตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
ไม่แปลกใจ เพราะทุกฝ่ายเชื่อกันอยู่แล้วว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทักษิณ ชินวัตร ต้องส่งลูกสาวหัวแก้ว หัวแหวนคนนี้ลงมานั่งตำแหน่งประมุขพรรคเพื่อไทยแน่
เพียงแต่การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยของ “อุ๊งอิ๊ง” รอบนี้ เป็นการก้าวขึ้นมาท่ามกลางภารกิจที่หนักอึ้ง
เป็นการก้าวขึ้นมาในสถานการณ์ที่เพื่อไทยกำลังถูกกดดันจากรอบด้าน
และยังเป็นการก้าวขึ้นมาหลังความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งทั่วไป เป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี นับจากวันที่ 6 มกราคม 2544 ที่วันนั้นพรรคไทยรักไทย คว้าชัยชนะแบบถล่มทลายเป็นครั้งแรกในสนามเลือกตั้ง โดยเป็นพรรคน้องใหม่ที่ได้รับเลือกตั้งถึง 248 ที่นั่ง เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบไม่เห็นฝุ่น

พรรคไทยรักไทยยังชนะการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 แบบสร้างประวัติศาสตร์ เมื่อได้รับเลือกตั้งมาถึง 377 ที่นั่ง เป็นพรรคเสียงข้างมากพรรคเดียวที่มีเสียงเกินครึ่งหนึ่งของจำนวน สส.ในสภาผู้แทนราษฏร 500 ที่นั่ง
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 พรรคไทยรักไทยได้รับเลือก 460 ที่นั่ง จากจำนวน 500 ที่นั่ง เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคการเมืองส่วนใหญ่ร่วมกันบอยคอตไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง จนทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ ก่อนที่จะเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย

พรรคไทยรักไทยที่แม้จะโดนรัฐประหาร และยุบพรรค เมื่อแปรสภาพมาเป็นพรรคพลังประชาชน ที่มี สมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค ยังกลับมาชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ขาดลอยอีกครั้ง โดยได้รับเลือกมาถึง 233 ที่นั่งจาก 480 ที่นั่งในสภาฯ
ต่อมาแม้พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบพรรค จนมาเป็นพรรคเพื่อไทย ก็ยังชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฏาคม 2554 และส่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยได้สำเร็จ โดยใช้เวลาหาเสียงเพียง 49 วัน ก่อนจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียง 2 ปี กับอีก 275 วัน ก็ต้องประกาศยุบสภา และพ้นจากตำแหน่งจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ก่อนจะมีการรัฐประหารอีกครั้ง เมื่อวันที่ 22 พฤษาภาคม 2557 โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น

พรรคเพื่อไทยเริ่มเป็นพรรคต่ำ 200 เป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ครั้งนั้นนำทัพโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ เมื่อได้รับเลือกตั้งมาเพียง 136 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่ง และแม้จะยังคงเป็นพรรคอันดับ 1 แต่ก็ต้องตกเป็นฝ่ายค้านเป็นสมัยแรก เมื่อพรรคพลังประชารัฐที่มี อุตตมะ สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรคและได้รับเลือกตั้งมาเพียง 116 ที่นั่ง สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในรัฐสภาที่มีสมาชิกวุฒิสภาร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกได้มากกว่า
ครั้งนั้นพรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และเอาชนะกลุ่มพรรคร่วมที่มี เพื่อไทย และ อนาคตใหม่ เป็นแกนนำ ซึ่งเสนอชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้แบบขาดลอย 500 ต่อ 244 คะแนน
การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 นอกจากเป็นพรรคฝ่ายค้านครั้งแรก ยังเป็นชัยชนะครั้งสุดท้ายในสนามเลือกตั้งทั่วไปของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย

เพราะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคเพื่อไทยที่มี หมอชลน่าน ศรีแก้ว เป็นหัวหน้าพรรค และมี แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และนำทัพในการหาเสียง แม้จะได้รับเลือกตั้งมากกว่าปี 2562 แต่ก็ไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์ ‘แลนด์สไลด์’ ได้สำเร็จ เมื่อได้รับเลือกมาเพียง 141 ที่นั่ง จาก สส.เขต 112 ที่นั่ง และบัญชีรายชื่อ 29 ที่นั่ง แพ้พรรคก้าวไกล หรืออนาคตใหม่เดิมที่ได้รับเลือก 151 ที่นั่งถึง 10 ที่นั่ง
การเลือกตั้งวันนั้น พรรคเพื่อไทยไม่เพียงสร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ไม่ได้ แต่ยังสร้างประวัติศาสตร์การแพ้เลือกตั้งทั่วไปเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปีอีกด้วย
แต่แม้จะเป็นพรรคอันดับ 2 แต่พรรคเพื่อไทยกลับพลิกมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังก้าวไกลที่นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่สามารถรวบรวมเสียงในรัฐสภา เพื่อเอาชนะเสียงสมาชิกวุฒิสภาในสำเร็จ
เพื่อไทยที่พลิกขั้วไปจับกับ ภูมิใจไทย และพรรค 2 ลุง คือ รวมไทยสร้างชาติ และ พลังประชารัฐ ก็จัดตั้งรัฐบาล และชู เศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้สำเร็จ แต่ก็เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่เริ่มต้นด้วยความบอบช้ำของพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทยมีอำนาจต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีต่ำมาก หากเทียบกับการจัดตั้งรัฐบาลในอดีต

การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลท่ามกลางแรงกดดันจากทุกฝ่าย และการก้าวขึ้นสู่อำนาจรัฐท่ามกลางสัญญาประชาคมจากนโยบายการหาเสียง และวิกฤติที่เกิดขึ้นรอบด้าน ทั้งจากภายในประเทศ และวิกฤติการณ์ทั่วโลก ทำให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยถูกตั้งคำถาม และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
“นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน ถูกมองเป็นเพียงแค่นอมินี และล่าสุด ยังถูกตั้งคำถามว่า เป็นนายกฯ ฝึกงานหรือไม่
นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาททั่วหน้า ค่าแรง 400 ทั่วประเทศ ยังไม่มีเรื่องไหนเป็นรูปธรรมให้จับต้องได้
ขณะที่การแก้วิกฤติเฉพาะหน้า ทั้งกรณีอพยพแรงงานไทยกลับจากอิสราเอล และกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ก็ไม่มีประเด็นไหนที่โชว์ความเป็นมืออาชีพเฉกเช่นสมัยเป็นไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทยในยุคคุณยิ่งลักษณ์
ยังไม่นับกระแสสังคมที่กำลังกระหน่ำใส่พรรค กรณีคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับอภิสิทธิ์ไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว
เพียงแค่นี้ เพื่อไทยซึ่งกำลังย่ำซ้ำอยู่กับที่ ก็ยากเกินเยียวยาแล้ว

การก้าวขึ้นสู่บัลลังก์หัวหน้าพรรคเพื่อไทยของ “อุ๊งอิ๊ง” ในวันนี้ จึงเป็นภาระหนักหน่วง และหนักอึ้งที่ “อุ๊งอิ๊ง” ต้องแบกความคาดหวังอยู่บนบ่าว่า จะนำพาพรรคเพื่อไทยกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้หรือไม่ และการเข้ามาบริหารพรรคเพื่อไทยรอบนี้ จะเป็นเพียงแค่ Renovate พรรคหรือ Reform พรรค
เพราะพรรคเพื่อไทยวันนี้แค่ Renovate หรือปรับปรุงเล็กน้อยคงไม่น่าจะพอ
พรรคเพื่อไทยวันนี้ต้องการ Reform หรือปฏิรูปพรรคมากกว่า
ท่ามกลางการเติบโตของคู่แข่งอย่างพรรคก้าวไกล ที่นับวันจะยิ่งแข็งแกร่งทั้งด้านเครือข่าย และฐานคะแนนเสียงที่กระจายกว้างมากขึ้นทุกวัน

“อุ๊งอิ๊ง” จะนำทัพพรรคเพื่อไทยยุคใหม่ที่มีคณะกรรมการบริหารพรรคที่ดูเหมือนเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของตระกูลการเมือง ส่วนใหญ่มาจากลูกหลานของบ้านใหญ่ในต่างจังหวัด เปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบการเมืองใหม่ได้หรือไม่
“อุ๊งอิ๊ง” จะสร้างปรากฏการณ์จากนโยบายใหม่ๆ ของพรรคเพื่อไทยที่โดนใจสังคมยุคใหม่ได้หรือไม่
“อุ๊งอิ๊ง” จะสร้างการเมืองใหม่ที่ไม่ถูกครอบงำทางความคิดจากทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อ และเป็นดั่งผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่
“อุ๊งอิ๊ง” จะนำพรรคเพื่อไทยรักษาพื้นที่มวลชนเดิม และรุกเข้าไปช่วงชิงพื้นที่มวลชนคนรุ่นใหม่จากพรรคก้าวไกลได้หรือไม่ ด้วยวิธีไหน
ทั้งหมดล้วนเป็นการบ้านข้อสำคัญของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ทั้งสิ้น
ประการสำคัญ อย่านำชัยชนะของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรีที่ นายแพทย์ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ จากทีมพรรคเพื่อไทย ชนะนายสุกวี แสงเป่า จากพรรคก้าวไกล ซึ่งชนะแบบขาดลอยมาเป็นข้อมูลว่า เพื่อไทยกำลังจะกลับมา และเพื่อไทยเริ่มเหนือกว่าพรรคก้าวไกล
เพราะชัยชนะที่กาญจนบุรี เป็นชัยชนะอันเนื่องมาจากการวางรากฐานการเมืองท้องถิ่นของอดีตนายกฯ หนุ่ย นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ ที่วางกำลัง สจ.แต่ละเขตของกาญจนบุรีไว้อย่างเข้มแข็ง และพิสูจน์มาแล้วจากการกวาดชัยชนะ สส. 4 ที่นั่งจาก 5 ที่นั่งของกาญจนบุรี
ชัยชนะรอบนั้น แม้เพื่อไทยจะได้คะแนน สส.บัญชีรายชื่อถึง 154,782 คะแนน แต่ก็แพ้ก้าวไกลที่ได้ 185,925 คะแนน
วันนี้ของ “อุ๊งอิ๊ง” จึงต้องพิสูจน์ความเป็นคนรุ่นใหม่ พิสูจน์ว่าการเข้ามาปรับปรุงพรรครอบนี้ จะเป็นแค่ Renovate ที่เพียงแค่ฉาบสี ตกแต่งภายนอก และปรับปรุงภายใน
หรือจะเป็นการ Reform หรือปฏิรูปพรรค ที่เปลี่ยนโฉมหน้าพรรคแบบสิ้นเชิง
