5 กันยายน 2566 เป็นอีกวันที่ต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากเป็นวันที่คณะรัฐมนตรี ‘เศรษฐา 1’ เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ เพื่อพร้อมเข้าปฏิบัติหน้าที่ทันทีที่แถลงนโยบายของรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนวันที่ 11 กันยายน 2566 ก็จะเป็นวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ที่วันนี้นโยบายรัฐบาลเศรษฐา 1 ได้ถูกแจกจ่ายไปยังสื่อมวลชนแทบทั้งหมด
นโยบายที่ถูกยกร่างเพื่อแถลงต่อรัฐสภาความยาวเกือบ 50 หน้า ถูกสรุปเหลือเพียง 14 หน้าให้คุณเศรษฐาใช้สำหรับลุกขึ้นแถลงต่อรัฐสภา
เนื้อความใน 14 หน้าที่ถูกสรุปโดยย่อ สาระครอบคลุมกว้างทั้งแนวทางด้านเศรษฐกิจ การสร้างรายได้ การขยายตลาด การสร้างโอกาสใหม่ๆ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมไปกับการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ส่วนวันที่ 11 กันยายน 2566 ก็จะเป็นวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ที่วันนี้นโยบายรัฐบาลเศรษฐา 1 ได้ถูกแจกจ่ายไปยังสื่อมวลชนแทบทั้งหมด
นโยบายที่ถูกยกร่างเพื่อแถลงต่อรัฐสภาความยาวเกือบ 50 หน้า ถูกสรุปเหลือเพียง 14 หน้าให้คุณเศรษฐาใช้สำหรับลุกขึ้นแถลงต่อรัฐสภา
เนื้อความใน 14 หน้าที่ถูกสรุปโดยย่อ สาระครอบคลุมกว้างทั้งแนวทางด้านเศรษฐกิจ การสร้างรายได้ การขยายตลาด การสร้างโอกาสใหม่ๆ การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมไปกับการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

แต่ที่อ่านอย่างละเอียดแล้วยังไม่ชัด คือ ‘นโยบายด้านความมั่นคง’ เพราะมีเพียง 3 ย่อหน้า และเนื้อหาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่หลักการปฏิรูปกองทัพ การปรับปรุงระบบจัดซื้อ จัดจ้างให้โปร่งใสตรวจสอบได้ รวมถึงการนำทรัพยากรของกองทัพมาจัดสรรเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
แผนงานด้านความมั่นคงในนโยบายของ ครม.เศรษฐา 1 ยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศให้ดีขึ้น เมื่อระบุว่า...
คุณภาพชีวิตที่ดี ข้อที่หนึ่ง คือ การมีความมั่นคงทั้งภายในและภายนอกที่สอดคล้องกับสภาวะของโลก รายละเอียดแยกเป็นข้อๆ คือ รัฐบาลจะสนับสนุนให้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานความมั่นคง
ซึ่งสะท้อนชัดว่า เป็นการมองจากภาพภายนอก มองจากสายตาคนนอก ที่เห็นกองทัพหรือหน่วยงานด้านความมั่นคง
หนึ่ง คือ ‘ล้าสมัย’
หนึ่ง คือ ‘เทอะทะ’
อีกหนึ่ง คือ ‘ไม่โปร่งใส’
การยกร่างจึงเกิดจากภาพรวมที่มองจากสายตาเฉกเช่นนี้ ไม่ได้มองผ่านบริบทความมั่นคงของโลก ความมั่นคงระดับภูมิภาค และความมั่นคงภายในประเทศ ไม่ได้มองผ่านความรู้จริงถึงปัญหา ภารกิจ และโครงสร้างที่แท้จริง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคทะเลจีนใต้ ความตึงเครียดในช่องแคบมะละกา ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทยพม่า ทั้งตอนเหนือ และตะวันตก ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหนึ่งในนโยบายที่เด่นชัดด้านความมั่นคง
ประเทศไทยในยามนี้ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดของ 2 มหาอำนาจของโลก ที่จับจ้องจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการขยายศักยภาพทั้งด้านกำลังรบ และขยายฐานด้านเศรษฐกิจการค้า
การปรากฏตัวของเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกาหรือ DEA ในพื้นที่ภาคเหนือของไทย รวมทั้งข้ามไปยังฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
พร้อมๆ กับข่าวการใช้โดรนโจมตีสถานที่ราชการของเมียนมาในพื้นที่เมืองเมียวดี ฝั่งตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จนสร้างความเสียหายและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมียนมาเสียชีวิตหลายคน
ข่าวการเคลื่อนไหวของกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่มีศักยภาพขนาด 1 กองพันทหารราบ ในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามจังหวัดกาญจนบุรี จนเป็นเหตุให้ไทยยังเปิดจุดผ่านแดนด่านพุน้ำร้อนไม่ได้
ทั้งหมด ล้วนไม่นับรวมท่าทีระหว่างรัฐบาลจีน และรัฐบาลอเมริกา กรณีทะเลจีนใต้
ไม่นับรวมความพยายามของรัฐบาลอเมริกาที่ขอเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย
ไม่นับรวมการซ้อมรบที่เกิดขึ้นถี่ยิ่ง ทั้งการซ้อมรบร่วมไทย-อเมริกา การซ้อมรบร่วมไทย-จีน
ไม่นับรวมการปรากฏตัวของกองเรือรบสังกัด กองเรือภาคพื้นแปซิฟิกของสหรัฐในน่านน้ำทะเลอ่าวไทย
และไม่นับรวมการปรากฏตัวของเรือดำน้ำของราชนาวีจีน ในการซ้อมรบร่วมครั้งล่าสุด
ทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องความมั่นคงที่เป็นภัยคุกคามจากภายนอกแหลมคมยิ่ง
แผนงานด้านความมั่นคงในนโยบายของ ครม.เศรษฐา 1 ยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศให้ดีขึ้น เมื่อระบุว่า...
คุณภาพชีวิตที่ดี ข้อที่หนึ่ง คือ การมีความมั่นคงทั้งภายในและภายนอกที่สอดคล้องกับสภาวะของโลก รายละเอียดแยกเป็นข้อๆ คือ รัฐบาลจะสนับสนุนให้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานความมั่นคง
- ให้มีความทันสมัยและสามารถตอบสนองต่อการคุกคามและภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ในศตวรรษที่ 21
- เป็นกลไกสำคัญในการพิทักษ์เอกราช สร้างความมั่นคง และความปลอดภัยในทุกพื้นที่ของประเทศ
- สนับสนุนการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามและภัยพิบัติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
- จะเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ
- ปรับปรุงการฝึกนักศึกษาวิชาทหารหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนให้เป็นแบบสร้างสรรค์
- ลดกำลังพลนายทหารชั้นสัญญาบัตรระดับสูง และกำหนดอัตรากำลังในกองอำนวยการรักษา ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจในปัจจุบัน และอนาคตของประเทศ
- ปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้มีความทันสมัย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับรูปแบบและความเสี่ยงของภัยคุกคามทั้งในปัจจุบันและอนาคต
- นำพื้นที่ของหน่วยทหารที่เกินความจำเป็นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยเฉพาะการใช้เพื่อการเกษตร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค การเพิ่มพูนความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและการใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ เพื่อสนับสนุนการสร้างรายได้ การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการสร้างความเข้มแข็งด้านสังคมของประเทศ
ซึ่งสะท้อนชัดว่า เป็นการมองจากภาพภายนอก มองจากสายตาคนนอก ที่เห็นกองทัพหรือหน่วยงานด้านความมั่นคง
หนึ่ง คือ ‘ล้าสมัย’
หนึ่ง คือ ‘เทอะทะ’
อีกหนึ่ง คือ ‘ไม่โปร่งใส’
การยกร่างจึงเกิดจากภาพรวมที่มองจากสายตาเฉกเช่นนี้ ไม่ได้มองผ่านบริบทความมั่นคงของโลก ความมั่นคงระดับภูมิภาค และความมั่นคงภายในประเทศ ไม่ได้มองผ่านความรู้จริงถึงปัญหา ภารกิจ และโครงสร้างที่แท้จริง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคทะเลจีนใต้ ความตึงเครียดในช่องแคบมะละกา ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทยพม่า ทั้งตอนเหนือ และตะวันตก ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหนึ่งในนโยบายที่เด่นชัดด้านความมั่นคง
ประเทศไทยในยามนี้ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดของ 2 มหาอำนาจของโลก ที่จับจ้องจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการขยายศักยภาพทั้งด้านกำลังรบ และขยายฐานด้านเศรษฐกิจการค้า
การปรากฏตัวของเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกาหรือ DEA ในพื้นที่ภาคเหนือของไทย รวมทั้งข้ามไปยังฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
พร้อมๆ กับข่าวการใช้โดรนโจมตีสถานที่ราชการของเมียนมาในพื้นที่เมืองเมียวดี ฝั่งตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จนสร้างความเสียหายและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมียนมาเสียชีวิตหลายคน
ข่าวการเคลื่อนไหวของกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่มีศักยภาพขนาด 1 กองพันทหารราบ ในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามจังหวัดกาญจนบุรี จนเป็นเหตุให้ไทยยังเปิดจุดผ่านแดนด่านพุน้ำร้อนไม่ได้
ทั้งหมด ล้วนไม่นับรวมท่าทีระหว่างรัฐบาลจีน และรัฐบาลอเมริกา กรณีทะเลจีนใต้
ไม่นับรวมความพยายามของรัฐบาลอเมริกาที่ขอเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย
ไม่นับรวมการซ้อมรบที่เกิดขึ้นถี่ยิ่ง ทั้งการซ้อมรบร่วมไทย-อเมริกา การซ้อมรบร่วมไทย-จีน
ไม่นับรวมการปรากฏตัวของกองเรือรบสังกัด กองเรือภาคพื้นแปซิฟิกของสหรัฐในน่านน้ำทะเลอ่าวไทย
และไม่นับรวมการปรากฏตัวของเรือดำน้ำของราชนาวีจีน ในการซ้อมรบร่วมครั้งล่าสุด
ทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องความมั่นคงที่เป็นภัยคุกคามจากภายนอกแหลมคมยิ่ง

และเป็นสถานการณ์ที่ใกล้เคียงสงครามเย็นในช่วงปี 2516-2523 ที่ห้วงเวลานั้น ประเทศไทยต้องเผชิญกับความกดดันจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่แผ่ขยายลงมาในชายแดนทุกด้านทั้งทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ยังมีความมั่นคงภายในที่ยังเป็นเผือกร้อนที่รอวันถอดสลักในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ความมั่นคงภายในเชิงความคิดที่รอวันปะทุ และรอวันปะทะ ระหว่างคนสองเจนเนอเรชั่น
ทั้งหมดนี้ รอความชัดเจนจากครม.เศรษฐา 1 ว่าจะลงลึกในรายละเอียดว่าอย่างไร
ใครจะถูกส่งเข้ามาแก้ปัญหานี้
เพราะนอกจากส่องนโยบายด้านความมั่นคงที่ไม่ชัดเจนแล้ว ยังไม่มีความชัดเจนในตัวบุคคลที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงอีกด้วย
งานด้านความมั่นคงที่วันนี้ ที่ควรจะเป็นงานสำคัญยิ่งของรัฐบาล กลับเป็นเพียง ‘งานฝากเลี้ยง’ หรือ ‘งานฝากดู’ เพราะล่าสุดปรากฏชื่อ ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ ที่นอกจากจะเป็นรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้ว ยังถูกมอบหมายให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงอีกด้วย
ยังมีความมั่นคงภายในที่ยังเป็นเผือกร้อนที่รอวันถอดสลักในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ความมั่นคงภายในเชิงความคิดที่รอวันปะทุ และรอวันปะทะ ระหว่างคนสองเจนเนอเรชั่น
ทั้งหมดนี้ รอความชัดเจนจากครม.เศรษฐา 1 ว่าจะลงลึกในรายละเอียดว่าอย่างไร
ใครจะถูกส่งเข้ามาแก้ปัญหานี้
เพราะนอกจากส่องนโยบายด้านความมั่นคงที่ไม่ชัดเจนแล้ว ยังไม่มีความชัดเจนในตัวบุคคลที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงอีกด้วย
งานด้านความมั่นคงที่วันนี้ ที่ควรจะเป็นงานสำคัญยิ่งของรัฐบาล กลับเป็นเพียง ‘งานฝากเลี้ยง’ หรือ ‘งานฝากดู’ เพราะล่าสุดปรากฏชื่อ ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ ที่นอกจากจะเป็นรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้ว ยังถูกมอบหมายให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงอีกด้วย

งานความมั่นคงที่ถูกมองแค่กำกับดูงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดูโผโยกย้ายตำรวจ งานความมั่นคงที่กำกับดูแลกระทรวงกลาโหม
แต่ไม่ใช่งานความมั่นคงที่ต้องกำกับดูแลกระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนามไชย 1 สุทิน คลังแสง วันนี้ยังไม่คุ้นทั้งชื่อ ‘บิ๊กทิน’ และไม่คุ้นกระทั่งมาตรการรักษาความปลอดภัยของระบบทหาร ก็ยังอยู่ในระหว่างการเดินสายคุยกับอดีตนายทหารใหญ่ เพื่อขอคำแนะนำถึงการวางตัว และแนวทางการบริหารกองทัพ
แต่ไม่ใช่งานความมั่นคงที่ต้องกำกับดูแลกระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนามไชย 1 สุทิน คลังแสง วันนี้ยังไม่คุ้นทั้งชื่อ ‘บิ๊กทิน’ และไม่คุ้นกระทั่งมาตรการรักษาความปลอดภัยของระบบทหาร ก็ยังอยู่ในระหว่างการเดินสายคุยกับอดีตนายทหารใหญ่ เพื่อขอคำแนะนำถึงการวางตัว และแนวทางการบริหารกองทัพ

นโยบายของ ‘บิ๊กทิน’ วันนี้ที่ให้สัมภาษณ์ ก็ยังวนในนโยบาย 4-5 ข้อที่ปรากฏในนโยบายเศรษฐา 1 ยังไม่มีอะไรที่ลึกซึ้งที่สะท้อนว่า ‘บิ๊กทิน’ ในวันนี้เข้าใจในงานกลาโหม เข้าใจงานความมั่นคงมากขนาดไหน เข้าใจโครงสร้างกองทัพอย่างลึกซึ้ง และถ่องแท้ขนาดไหน เข้าใจภารกิจของกองทัพแต่ละพื้นที่ชัดเจนขนาดไหน
วันนี้กองทัพภาคที่ 3 ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันตามแนวชายแดนจากความเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยตลอดแนวชายแดนไทย–พม่า
กองทัพภาคที่ 1 ที่ต้องรับผิดชอบแนวรบด้านตะวันตก
กองทัพภาคที่ 4 กับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาชายแดนไทย–พม่า และชายแดนไทย-มาเลเซีย ปัญหาผู้อพยพโรฮิงญา
กองทัพเรือกับการเสริมสร้างศักยภาพที่เหมาะสม และทันสมัยพร้อมรับสถานการณ์ตึงเครียดในทะเลจีนใต้ และในช่องแคบมะละกา การหลั่งไหลของชาวโรงฮิงญาในน่านน้ำทะเลอันดามัน
กองทัพอากาศกับศักยภาพกำลังรบทางอากาศ การติดตั้งสถานีเรดาร์ ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้กรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ สามารถจับความเคลื่อนไหวได้ตลอดแนวน่านฟ้า
เหล่านี้ต่างหากที่ ‘บิ๊กทิน’ ควรให้ความสำคัญ และเริ่มทำการบ้านอย่างจริงจัง
วันนี้กองทัพภาคที่ 3 ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันตามแนวชายแดนจากความเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยตลอดแนวชายแดนไทย–พม่า
กองทัพภาคที่ 1 ที่ต้องรับผิดชอบแนวรบด้านตะวันตก
กองทัพภาคที่ 4 กับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาชายแดนไทย–พม่า และชายแดนไทย-มาเลเซีย ปัญหาผู้อพยพโรฮิงญา
กองทัพเรือกับการเสริมสร้างศักยภาพที่เหมาะสม และทันสมัยพร้อมรับสถานการณ์ตึงเครียดในทะเลจีนใต้ และในช่องแคบมะละกา การหลั่งไหลของชาวโรงฮิงญาในน่านน้ำทะเลอันดามัน
กองทัพอากาศกับศักยภาพกำลังรบทางอากาศ การติดตั้งสถานีเรดาร์ ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้กรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ สามารถจับความเคลื่อนไหวได้ตลอดแนวน่านฟ้า
เหล่านี้ต่างหากที่ ‘บิ๊กทิน’ ควรให้ความสำคัญ และเริ่มทำการบ้านอย่างจริงจัง

ปฏิรูปกองทัพ ลดทหารเกณฑ์ ลดนายพล เป็นงานรูทีนที่กระทรวงกลาโหมทำกันมาพักใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหยิบยกมาเป็นนโยบายด้วยซ้ำ
อย่าให้งานด้านความมั่นคงเป็นแค่งานฝากเลี้ยง เป็นแค่นโยบายหาเสียง โดยไม่ลงเนื้อแท้ของงานด้านความมั่นคงที่ควรจะดู
ฝากเป็นการบ้านให้ ‘บิ๊กอ้วน’ รองนายกด้านความมั่นคง และ ‘บิ๊กทิน’ สนามไชย 1 ไตร่ตรองและลองคิด
อย่าให้งานด้านความมั่นคงเป็นแค่งานฝากเลี้ยง เป็นแค่นโยบายหาเสียง โดยไม่ลงเนื้อแท้ของงานด้านความมั่นคงที่ควรจะดู
ฝากเป็นการบ้านให้ ‘บิ๊กอ้วน’ รองนายกด้านความมั่นคง และ ‘บิ๊กทิน’ สนามไชย 1 ไตร่ตรองและลองคิด
