เรียกได้ว่า ยังห่างไกลกับคำว่า ‘ตกผลึก’ สำหรับประเด็นการทำ ‘ประชามติ’ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ในเรื่องนี้ ราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นว่า หลักการของพรรคฯ ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญต้องแก้ไขเพิ่มเติมให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากกว่าฉบับปัจจุบัน ขณะนี้ มีการถกเถียงเรื่องการทำประชามติว่าต้องดำเนินการกี่ครั้ง รัฐบาลก็ต้องตัดสินใจ เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลได้ประกาศต่อประชาชนว่า จะทำอย่างเร่งด่วน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า รัฐบาลพยายามถ่วงเวลามานานแล้ว
หากพิจารณารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุไว้ชัดว่า คือให้มีการทำประชามติ หลังจากพิจารณาครบสามวาระแล้ว ให้ไปทำประชามติก่อน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 256 (8) มีบทบัญญัติเป็นกรณีเฉพาะที่ไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับใดที่ได้บัญญัติไว้ว่า หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 15 อันว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จะต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
และผลการออกเสียงประชามติ เห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จึงจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามที่เสนอได้ คือการจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เมื่อ ส.ส.ร. ร่างเสร็จแล้ว ก็ต้องไปถามประชาชนโดยการออกเสียงประชามติอีกครั้ง ก็ถือว่าสมบูรณ์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งหากเพิ่มการถามประชามติก่อนดำเนินการในสภา ก็จะไม่สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญ
ขณะนี้ บางฝ่ายพยายามดึงศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นคู่กรณีด้วยในทางการเมือง ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่หากไปศึกษาคำวินิจฉัยโดยละเอียด จะเห็นว่าคำวินิจฉัยไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่อุปสรรคอยู่ที่ฝ่ายปฏิบัติที่ไม่กล้าในการตัดสินใจ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันหลักการเดิมคือ รัฐธรรมนูญต้องมีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ การแก้ไขเพิ่มเติมมีความจำเป็นต้องทำ และการแก้ไขจะต้องไม่ไปกระทบกับหมวดหนึ่งและหมวดสอง จึงต้องเรียกร้องให้รัฐบาลรีบตัดสินใจอย่ายื้อเวลา แต่ถ้าคิดว่าระบบประชาธิปไตยคือเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจ รัฐบาลก็ยื้อเวลาต่อไป