







นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี เดินทางยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบ นายทักษิณ ชินวัตร ครอบงำพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคเพื่อไทยยอมให้บุคคลซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคครอบงำชี้นำ ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา28 มาตรา 29 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560
โดยมองว่า การครอบงำเป็นปัญหาใหญ่ของการเมืองไทย คนครอบงำ มีการไปติดต่อ เจรจา มีผลประโยชน์อะไร ประชาชนไม่รู้ จึงเห็นว่า ต้องร้องต่อ กกต.เพื่อส่งต่อ ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นการปกป้องประโยชน์ของประชาชน และระบบกฎหมาย
นพ.วรงค์ กล่าวระบุถึง 3 เหตุการณ์ที่นำมาสู่การร้องเรียนครั้งนี้ คือ 1.นายทักษิณ เชิญแกนนำพรรคเพื่อไทย รวมถึงนายชัยเกษม นิติสิริ และพรรคร่วมรัฐบาล มาเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ในวันที่ 14 สิงหาคม ช่วงเย็น หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสินสิ้นสุดลง ซึ่งสื่อมีการนำเสนอข่าวว่าได้ข้อสรุปการหารือว่าจะเสนอชื่อนายชัยเกษมเป็นนายกรัฐมนตรี แม้วันที่ 15 กันยายน จะมีการประชุมของพรรคเพื่อไทยและมีการเปลี่ยนตัวว่าที่นายกฯ เป็น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แต่ถือว่า การกระทำของวันที่ 14 ส.ค.สำเร็จไปแล้ว โดยนายทักษิณ ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเข้ามาครอบคลุม ครอบงำ ชี้นำพรรคเพื่อไทย และแกนนำหรือกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยไม่ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว
2.เป็นเหตุการณ์วันที่ 20 สิงหาคม นายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อที่ถามว่า จะให้นางสาวแพทองธาร ควบตำแหน่งรมว.กลาโหมหรือไม่ ว่า เป็นเรื่องที่หนักเกินไป แม้นางสาวแพทองธารจะเป็นบุตรสาว แต่ต้องไม่ลืมว่าก็เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
การพูดลักษณะนี้เท่ากับเป็นการชี้นำหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อีกทั้งสื่อยังถามต่อว่า พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการครอบงำหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่าไม่ใช่ “ครอบงำ” แต่เป็นการ “ครอบครอง” แม้จะเป็นการพูดเล่น แต่คำนี้หนักกว่าการ “ครอบงำ” เพราะคำว่า “ครอบงำ” คือมีอิทธิพลเหนือกว่า ให้คนอื่นปฏิบัติตาม แต่"ครอบครอง"คือมีสิทธิเป็นเจ้าของ สังคมอาจมองว่า น.ส.แพทองธารเป็นลูกสาว นายทักษิณเป็นบิดาสามารถให้คำปรึกษาได้ ซึ่งตนก็เห็นด้วย แต่ต้องเป็นการให้คำปรึกษาที่บ้าน ไม่ใช่มาแสดงออกผ่านสาธารณะ แบบนี้บ่งบอกชัดเจนว่า นายทักษิณคือหัวหน้าพรรค ดังนั้นการที่นายทักษิณมีพฤติการณ์ ชี้นำ ครอบงำ ควบคุม จึงเข้าข่ายผิดกฎหมาย
3.การที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์ว่าจะเอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาล โดยตอบสื่อชัดเจนว่า ต้องการเสียงที่เพียงพอต่อการผ่านกฎหมาย และสุดท้ายก็เอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลจริง โดยนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเป็นผู้ส่งหนังสือเชิญ พฤติกรรมนี้เท่ากับว่า นายทักษิณ ชี้นำการจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
นอกจากนี้ยังมีกรณีปัญหาการร่วมรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐที่มีความขัดแย้งระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งนายทักษิณ ก็ชี้ว่า จะเอากลุ่มไหนมาร่วมรัฐบาล และสุดท้ายเป็นไปตามที่นายทักษิณ ชี้ว่าจะเอากลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส มาร่วมรัฐบาล
นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า “ทั้ง 3 เหตุผลนี้หากปล่อยให้มีการชี้นำ ครอบงำ จะเกิดอันตรายกับประเทศ พฤติกรรมสองอย่างนี้ไปด้วยกัน เหตุการณ์หนึ่งที่พรรคการเมืองยอมให้คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคมามีพฤติกรรมแบบนี้ พรรคการเมืองก็มีความผิดและนำไปสู่การยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญ และเหตุการณ์นี้เป็นผู้ใดที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคกระทำการชี้นำ ครอบงำ ก็เป็นความผิดตามมาตรา 29 เราจึงร้องร่วมในเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกันต่อ กกต.”
ส่วน กกต.จะมีการนำคำร้องนี้ไปรวมพิจารณากับคำร้องที่พรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปพบนายทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หรือไม่นั้น นพ.วรงค์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าเป็นคนละส่วนกัน ตนร้องพรรคเพื่อไทย กับนายทักษิณ แต่คำร้องนั้น เป็นการร้องพรรคร่วม 6 พรรค ส่วนตัวมองว่า พรรคร่วมมีสิทธิเจรจากับใครก็ได้ เชื่อว่า เขาไม่ได้ถูกครอบงำ แต่ต้องอิงบนผลประโยชน์ของเขา ใครมาเจรจาก็ต้องมาปรึกษาหารือว่า อันไหนได้ประโยชน์สูงสุด จึงเป็นการเจรจาต่อรองธรรมดา แต่พรรคเพื่อไทย มีการปฏิบัติตามสิ่งที่นายทักษิณพูดเกือบทั้งหมด จึงร้องเฉพาะเรื่องนายทักษิณ กับพรรคเพื่อไทย
เมื่อถามว่า การร้องครั้งนี้อาจทำให้ถูกมองว่าอยู่ร่วมขบวนการใช้นิติสงคราม เพื่อทำลายรัฐบาล นพ.วรงค์ กล่าวว่า คำว่า ‘นิติสงคราม’ เป็นคำที่ยกขึ้นมาเพื่อโจมตีคนที่มาร้องเรียน อยากถามกลับคนที่ใช้คำนี้ว่า คุณเป็นนักประชาธิปไตยหรือไม่ เพราหลักใหญ่ประชาธิปไตยมี 3 ข้อคือ เรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องการเลือกตั้ง แต่ข้อสุดท้ายที่สำคัญคือการตรวจสอบและถ่วงดุล
ดังนั้นกระบวนการประชาธิปไตยต้องยอมรับการตรวจสอบและถ่วงดุล การโจมตีคนที่มาร้องเรียนว่า ใช้นิติสงครามนั้น เท่ากับไม่ยอมรับการตรวจสอบและถ่วงดุล ซึ่งไม่อยากให้ประชาชนหลงประเด็น เพราะคนพวกนี้กลัวการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งเป็นเสน่ห์ของประชาธิปไตย ที่คนได้ประโยชน์คือประชาชน เพราะเมื่อมีการตรวจสอบนักการเมืองจะระมัดระวังตัวในการที่จะทำเรื่องต่างๆ
“คำว่านิติสงคราม จึงเป็นวาทกรรม ของคนที่กลัวการถูกตรวจสอบ แต่ปากอ้างว่า ตัวเองคือนักประชาธิปไตย ซึ่งพวกนี้คือของปลอม อย่างบอกว่าคนร้องรับเงิน ขอให้บอกเลยว่าใครรับเงิน ลองบอกว่าหมอวรงค์รับเงิน ผมจะฟ้อง อย่าพูดลอยๆ ตีกิน ด้อยค่าคนอื่น แน่จริงระบุชื่อหมอวรงค์รับเงิน ไม่ต้องระบุว่ารับเงินใครมาก็แต่ แต่แค่บอกว่าผมรับเงินเท่าไหร่ผมฟ้องคุณแน่ คนอย่างผมไม่มี ถ้ารับรวยไปแล้วตั้งแต่โครงการรับจำนำข้าว 9.4 แสนล้านบาท ผมรับเล็กๆ น้อยๆ สัก 500 ล้าน หรือพันล้าน ซึ่งมีคนเจรจาด้วย ผมยังไม่รับเลย นับประสาอะไรมาบอกว่าคดีละสองแสน กระจอกเกินไป” นพ.วรงค์ กล่าว
เมื่อถามว่า การกลับมาของนายทักษิณ จะเป็นการฟื้นระบอบทักษิณ นพ.วรงค์ กล่าวว่า ก็เกิดขึ้นจริง เพราะระบอบทักษิณที่เราจำกัดความไว้คือการใช้อำนาจไม่ชอบ นำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่น ตอนแรกที่นายทักษิณกลับมา ตนให้อภัย เพราะเห็นว่าเขาคงมีสำนึก และได้อ่านพระบรมราชโองการระบุว่า ยอมรับผิด สำนึกผิด พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนโอเคมาก พร้อมให้อภัย แต่พอดูไปแล้วมันไม่ใช่ นายทักษิณกล่าวหาว่า ถูกยัดข้อหา และไปปาฐกถาว่า โดนหมั่นไส้หน่อยต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี สะท้อนว่านายทักษิณไม่ได้สำนึกผิด
ดังนั้นมองว่า สังคมให้โอกาสนายทักษิณแล้ว แต่นายทักษิณไม่รับโอกาสนี้ เหมือนกับการที่ไม่ยอมอยู่ชั้น 14 และมีพฤติกรรมที่ทำให้คนสงสัยว่ามีการครอบงำ เท่ากับกำลังรื้อฟื้นระบอบทักษิณขึ้นมา หลังๆ มีคนใช้คำว่า ระบอบชินวัตรแล้ว เพราะมันหนักกว่าตัวนายทักษิณ ซึ่งถ้านายทักษิณ คิดดีต่อชาติบ้านเมืองจริงก็ขอให้เคารพกฎหมาย เคารพรัฐธรรมนูญ เราให้อภัยคุณได้ แต่ถ้าท้าทายกฎหมายก็ช่วยไม่ได้ เพราะประชาธิปไตยคือการตรวจสอบ ถ่วงดุล ดังนั้น นายทักษิณคือผู้รื้อฟื้นระบอบทักษิณและแปลงร่างไปเป็นระบอบชินวัตร
เมื่อถามว่า การร้องวันนี้จะมีน้ำหนักและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า มองเป็น 2 กรณี กกต. คือองค์กรอิสระที่เป็นหัวใจสำคัญที่สร้างสมดุลระบอบประชาธิไตย ถ้า กกต.ทำเต็มที ซึ่งมีช่องทางให้กกต.เร่งตรวจสอบได้เยอะ ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว คิดว่าบ้านเมืองดีขึ้นแน่นอน กับการที่เราร้องเรียน เป็นการกระตุกให้คนที่คิดทำไม่ดีกับบ้านเมืองระวังมากขึ้น ประชาชนก็จะได้ประโยชน์
“ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการร้องไปเรื่อย ผมเพิ่งร้องนายทักษิณ กรณีชั้น 14 เท่านั้น ซึ่งต้องถามว่า ไม่ควรร้องอย่างนั้นหรือ ผมไม่ใช่ร้องเลอะเทอะ แต่ทำแบบมีหลักเกณฑ์ มีข้อมูลหลักฐาน ทำเรื่องใหญ่ๆ เรื่องเล็กไม่ทำ” นพ.วรงค์ กล่าว