‘สวนดุสิตโพล’ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศเฉพาะผู้ที่เคยไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ท้องถิ่น เรื่อง ‘การเลือกตั้งท้องถิ่นกับการเลือกตั้งระดับชาติ’ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,149 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 4-6 กันยายน 2567 สรุปผลได้ ดังนี้
1) ประชาชนคิดว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด
อันดับ 1 สำคัญมาก 57.88%
อันดับ 2 ค่อนข้างสำคัญ 38.47%
อันดับ 3 ไม่ค่อยสำคัญ 3.48%
อันดับ 4 ไม่สำคัญ 0.17%
2) ประชาชนอยากให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นนำเสนอนโยบายด้านใดบ้าง
อันดับ 1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมในชุมชน 72.58%
อันดับ 2 แนวทางการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ฝุ่น น้ำท่วม ฯลฯ 70.32%
อันดับ 3 ส่งเสริมการศึกษา สถานศึกษาในท้องถิ่น 64.06%
3) ประชาชนคิดว่าปัจจัยใดที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการตัดสินใจเลือกผู้สมัครในการเลือกตั้งท้องถิ่น
อันดับ 1 นโยบายของผู้สมัคร 67.42%
อันดับ 2 ประวัติและผลงานในอดีตของผู้สมัคร 65.77%
อันดับ 3 การลงพื้นที่หาเสียง 62.80%
4) ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ว่า ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่เกี่ยวข้องกับผลการเลือกตั้งระดับชาติ
อันดับ 1 ไม่เห็นด้วย 52.13%
อันดับ 2 เห็นด้วย 47.87%
5) ประชาชนเชื่อมั่นพรรคการเมืองใดในการทำงานแก้ปัญหาท้องถิ่นมากที่สุด
อันดับ 1 พรรคประชาชน 30.73%
อันดับ 2 พรรคเพื่อไทย 22.38%
อันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย 13.19%
อันดับ 4 พรรคพลังประชารัฐ 10.67%
อันดับ 5 พรรคชาติไทยพัฒนา 8.82%
อันดับ 6 พรรคไทยสร้างไทย 7.89%
อันดับ 7 พรรคประชาธิปัตย์ 6.32%
‘พรพรรณ บัวทอง’ ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลโพลสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนมองการเลือกตั้งท้องถิ่นและการเลือกตั้งระดับชาติมีทั้งเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกัน โดยอาจมีความเชื่อมโยงกันทางการเมือง และการสนับสนุนของพรรคและบทบาทของบ้านใหญ่ก็มีผลต่อการเลือกตั้ง ด้านพรรคประชาชนนอกจากมีกระแสในการเลือกตั้งระดับชาติแล้ว ก็ยังมีกระแสในการเลือกตั้งท้องถิ่นเช่นกัน แต่หากพรรคไม่สามารถล้มบ้านใหญ่ได้ก็อาจจะยากในสนามแข่งขัน
ด้าน ‘ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัญชลี รัตนะ’ อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตร์ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต อธิบายว่า การปกครองส่วนท้องถิ่น ถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยและเป็นการปกครองที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมากที่สุด ดังนั้นในการเลือกตั้งท้องถิ่น ประชาชนจึงมักจะเลือกโดยตัดสินใจจากความสัมพันธ์ระดับปัจเจกเป็นอันดับแรก ไม่ใช่กระแสของพรรคการเมืองระดับชาติ โดยเฉพาะการเลือกในระดับสมาชิก ผู้สมัครที่ได้รับเลือกต้องเป็นคนประเภทเรียกง่าย ใช้คล่อง เป็นพี่น้องพวกพ้องที่รู้จักกัน ส่วนการเลือกตั้งผู้นำองค์กรในตำแหน่งนายก มักพิจารณาจากบารมีส่วนบุคคลที่ประชาชนในพื้นที่รู้สึกว่าสามารถพึ่งพาอาศัยได้ในทุกสถานการณ์แบบใจถึง พึ่งได้
“ยิ่งสถานการณ์ที่ระบบราชการมีอำนาจเข้มแข็ง แต่อำนาจของประชาชนในการต่อรองหรือแสดงความคิดเห็นมีน้อย ยิ่งทำให้ระบบบ้านใหญ่เติบโต เพราะประชาชนมักต่อรองผ่านอำนาจบารมีของบ้านใหญ่ในพื้นที่เป็นหลัก การทำงานผ่านกระแสพรรค หรือกระแสของการเมืองระดับชาติ จึงไม่สามารถฝ่าด่านบ้านใหญ่ได้โดยง่าย แต่ต้องอาศัยการทำงานเชิงความคิดร่วมกับเครือข่ายหรือคนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องจึงเกิดมรรคผลเป็นรูปธรรม”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัญชลี กล่าว