พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) นำแถลงบทสรุปการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทดแทน ระยะที่ 1 จำนวน 4 เครื่อง มูลค่า 19,500 ล้านบาท (ทั้งหมด 1 ฝูง 12 เครื่อง งบประมาณราว 60,000 บาท) โดยมี Mr.Joakim Wallin ตำแหน่ง Head of Export สำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์กลาโหมสวีเดน(Defence Material Administration : FMV) , Mr.Lars Tossman ตำแหน่ง Head of Business Area Aeronautics Saab ผู้แทนบริษัท SAAB พร้อมด้วย Mr. Mark Gooding OBE became HM Ambassador to the Kingdom of Thailand in July 2021 และ Mrs. Anna Hammargren เอกอัครราชทูตสวีเดน ประจำประเทศไทย ร่วมงานแถลงข่าว
พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ผบ.ทอ. กล่าวว่า กองทัพอากาศให้ความสำคัญกับการเลือกแบบตั้งแต่เริ่มกระบวนการคัดเลือก ทั้งรายละเอียดหลักและ นโยบายชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ หรือ Offset Policy ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของกองทัพอากาศและเป็นโครงการนำร่องในเรื่องของการพิจารณา Offset Policy
ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศเพื่อมุ่งสู่การเป็นกองทัพอากาศที่แข็งแกร่ง พร้อมปกป้องอธิปไตย ตามสมุดปกขาวของกองทัพอากศ เพื่อทดแทนเครื่องบิน F-16 จาก กองบิน 1 ที่ประจำการมากกว่า 37 ปี โดยโครงการนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ รวม 10 ปี ซึ่งระหว่างนี้ยังต้องใช้ F-16 ไปอีกประมาณ 10 ปี
ทั้งนี้ กองทัพอากาศคัดเลือกจาก 20 แบบ จนเหลือ 6 แบบ และเหลือ 2 แบบ ในที่สุดก็เลือก Gripen E/F ซึ่งตอบโจทย์ในเรื่องของการต่อยอดพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ เรื่องของการชดเชยมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดรูปแบบการจัดหาเป็นแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือ จีทูจี ซึ่งการเจรจาทุกท่านขั้นตอนกับสวีเดนได้ข้อยุติแล้ว
“ขอให้ความมั่นใจว่าโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F ดำเนินการด้วยความรอบคอบ มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้ ตลอดจนสนับสนุนชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ ตามนโยบายของรัฐบาล เกิดความคุ้มค่าสูงสุดต่องบประมาณที่ได้รับจากภาษีของประชาชน โดยเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะสูง ใช้ปกป้องอธิปไตยและรักษาผลประโยชน์ของชาติ สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามตามสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ” ผบ.ทอ. กล่าว

ด้าน พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารทหารอากาศ กล่าวว่า โครงการนี้เริ่มจัดหาที่ 4 เครื่องก่อน ใช้งบ 5 ปี คือ 2568-2572 ข้อเสนอหลัก หรือ เมนแพ็กเกจ คือเครื่องบิน E (1 ที่นั่ง) 3 เครื่อง และเครื่องบิน F (2 ที่นั่ง) 1 เครื่อง พร้อมระบบรองรับ รวมทั้งระบบปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ สามารถใช้อาวุธอากาศสู่อากาศระยะไกลกว่าสายตาแบบ Meteor รวมถึงอาวุธอื่นๆ และระบบสนับสนุนอุปกรณ์ภาคพื้นและอะไหล่ ขณะเดียวกันยังรวมถึงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และนักบิน

ขณะที่ พล.อ.อ.คิดควร สดับ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ย้ำถึงนโยบายชดเชยการนำเข้า รวม 14 รายการ (มูลค่า 100,000 ล้านบาท) ว่า มีทั้งข้อเสนอชดเชยทางตรง 7 รายการ เช่น Link T เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีอย่างอิสระ ซึ่งสามารถขยายผลร่วมปฎิบัติการกับเหล่าทัพอื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัด และการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน ส่วนข้อเสนอทางอ้อมอีก 7 รายการ เช่น การส่งเสริมการลงทุน และการพัฒนาทางไซเบอร์ เป็นต้น

ส่วน พล.อ.ต.พูนศักดิ์ ปิยะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กองทัพอากาศ ชี้แจงขั้นตอนการจัดซื้อหลังจากนี้ ว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยวิธีการรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยกองทัพอากาศจะเสนอเรื่องให้กองทัพไทย วางแผนภายในต้นเดือนมิถุนายน 2568 คาดว่ากองทัพไทยจะเสนอเรื่องให้กับกระทรวงกลาโหมได้กลางเดือนมิถุนายน 2568 โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งร่างสัญญาให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายต่างๆ คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในกลางเดือนมิถุนายน 2568
ขณะเดียวกัน จะส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณ เพื่อตรวจสอบ ได้งบประมาณภายในเดือนมิถุนายน และกระทรวงกลาโหม จะส่งเรื่องต่อ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเข้าสู่ ครม. ภายใน 15 กรกฎาคม 2568 โดยภายหลังเห็นชอบให้กองทัพอากาศดำเนินการ และลงนามในสัญญา ซึ่งคาดว่าจะลงนามได้ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเยือนประเทศสวีเดนอย่างเป็นทางการ พร้อมกับการลงนามความร่วมมือและเป็นพันธมิตรของ 2 ประเทศต่อไป