เปิดทัศนะ ‘เอกอัครราชทูตจีน’ ปมสงครามภาษีสหรัฐฯ มอง ‘สหรัฐฯ’ ยกก้อนหินทับขาตัวเอง เสนอ ไทย-จีน-อาเซียน ร่วมมือกัน

17 เม.ย. 2568 - 05:17

  • เปิดทัศนะ ‘เอกอัครราชทูตจีน’ ปมสงครามภาษี มอง ‘สหรัฐฯ’ ใช้ ‘ภาษี’ เป็นอาวุธบีบบังคับคู่ค้า เพื่อหาประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว

  • ชี้เป็นการใช้อำนาจการเมือง ครอบงำเศรษฐกิจการค้า

  • เสนอ ‘จีน-ไทย-อาเซียน’ ร่วมมือปกป้องระเบียบการค้าโลก

  • ย้ำจีนพร้อมตอบโต้หากถูกบังคับเก็บภาษีไร้เหตุผล

han-zhiqiang-trade-war-17-apr-2025-SPACEBAR-Hero.jpg

การขึ้นภาษีสินค้าจีนสูงถึง 245% โดยรัฐบาลสหรัฐฯ จุดชนวนความตึงเครียดทางเศรษฐกิจรอบใหม่ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากนานาประเทศที่มองว่านี่ไม่ใช่ความยุติธรรมทางการค้า แต่คือการใช้อำนาจกดดันฝ่ายเดียว

ล่าสุด เพจ Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความ ระบุหัวข้อว่า ทัศนะของข้าพเจ้าต่อสงครามภาษี  (บทความลงนาม  นายหาน จื้อเฉียง  เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย) โดยมีเนื้อหาดังนี้ 

การเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ได้รับการจับตามองอย่างกว้างขวางทั่วโลก ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เพื่อน ๆ หลายคนได้สอบถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาอยากรู้ว่าชาวจีนมองเรื่องนี้อย่างไร และจะรับมืออย่างไร ข้าพเจ้าจึงขอใช้พื้นที่เล็ก ๆ บนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เพื่อแบ่งปันทัศนะส่วนตัว และเป็นการตอบคำถามสำหรับสาธารณะชนที่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้

การได้เปรียบดุลการค้าเป็นความผิดหรือไม่? 

การค้าระหว่างประเทศตั้งอยู่บนพื้นฐานของทรัพยากรและข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของแต่ละประเทศ โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การค้าขายที่สมัครใจและเพื่อประโยชน์ร่วมกัน การที่บริษัทอเมริกันเลือกประเทศไทยเป็นฐานผลิตฮาร์ดดิสก์แล้วนำกลับไปขายในสหรัฐฯ ก็เพราะไทยมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า หากคิดว่าไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ และตัดสินว่าไทยมีการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯและสมควรถูกขึ้นภาษี ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว การที่สหรัฐฯ เกินดุลในภาคการค้าบริการกับคู่ค้าทั่วโลกมากถึง 295,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาล จะถือว่าสหรัฐฯ ไม่เป็นธรรมต่อคู่ค้าทั่วโลกหรือไม่ และคู่ค้าทั่วโลกควรลงโทษสหรัฐฯ หรือไม่ ดังนั้น การขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ จึงไม่สอดคล้องกับหลักการทางเศรษฐศาสตร์โดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

การแบ่งงานกันทำและการค้าเสรีระหว่างประเทศต่าง ๆ คือรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯเองก็เป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบการค้าโลก ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้บริโภคสินค้าคุณภาพดี ราคาคุ้มค่าจากทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ครองความได้เปรียบในภาคการเงิน เทคโนโลยี และด้านอื่น ๆ  ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง คุณโอคอนโจ-อิเวียลา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) เคยเขียนบทความระบุอย่างชัดเจนว่า “สหรัฐฯ คือผู้ชนะรายใหญ่ที่สุดในเวทีการค้าโลก”

การเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ไม่ใช่ความยุติธรรม แต่คือการใช้อำนาจบีบบังคับ สหรัฐฯ ใช้ภาษีเป็นอาวุธในการบีบบังคับคู่ค้าจนถึงขีดสุดและแสวงหาผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว แท้จริงแล้ว นี่คือการใช้อำนาจการเมืองเข้าครอบงำเศรษฐกิจและการค้า อันเป็นการกดดันฝ่ายเดียวต่อคู่ค้าอย่างไม่เป็นธรรม ทั่วโลกมี 190 กว่าประเทศ ลองจินตนาการดูว่า หากทุกประเทศต่างคิดว่าประเทศของตนเองต้องมาก่อน และหลงเชื่อในสถานะที่มีอำนาจที่แข็งแกร่ง โลกนี้จะถอยกลับไปสู่ยุคแห่งกฎป่า ประเทศเล็กและประเทศที่อ่อนแอจะกลายเป็นผู้รับเคราะห์ และระเบียบกติกาสากลจะถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง

สหรัฐฯ จุดชนวนสงครามภาษี ทำให้ห่วงโซ่อุปทานสั่นคลอนไปทั่วโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเสี่ยงต่อการถดถอยอย่างหนัก จนถูกนานาประเทศประณามอย่างรุนแรง นายดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เรียกร้องให้ชาติอาเซียนอย่านิ่งนอนใจ นายลอเรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เตือนว่าสิ่งที่สหรัฐฯ กำลังกระทำจะผลักดันให้โลกเข้าสู่ยุคใหม่ที่ใช้อำนาจโดยพลการมากขึ้น เต็มไปด้วยลัทธิการคุ้มครองการค้าและเป็นอันตราย ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน กล่าวต่อสาธารณะว่านโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก และทำลายผลประโยชน์ของผู้บริโภคทั่วโลก นายกรัฐมนตรีมาร์ค คาร์นีย์แห่งแคนาดากล่าวว่า เรื่องนี้คือ “โศกนาฏกรรมของการค้าโลก”

จีนจะรับมืออย่างไร? 

แก่นแท้ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯคือการได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นคู่ค้าสำคัญระหว่างกันทั้งด้านการค้าสินค้าและการค้าบริการ ตลอดจนการลงทุนระหว่างกัน การรักษาความมั่นคงและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างสองประเทศไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อทั้งจีนและสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นคุณต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอีกด้วย 

ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่า เมื่อจีนกับสหรัฐฯ ร่วมมือกัน ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ แต่หากปะทะกัน ย่อมเสียหายทั้งคู่ สงครามการค้าย่อมไม่มีผู้ชนะ ลัทธิคุ้มครองก็ไม่ใช่ทางออก ความสำเร็จของจีนและสหรัฐฯ ต่างเป็นโอกาสสำหรับอีกฝ่าย มิใช่ภัยคุกคามต่อกันอย่างแน่นอน

จีนไม่ประสงค์จะทำสงครามภาษี แต่หากมีคนบังคับเรียกเก็บภาษีอย่างไม่มีเหตุผลกับจีน จีนก็จำเป็นต้องตอบโต้อย่างเด็ดขาด ที่ผ่านมา จีนได้ดำเนินมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ อย่างมีพลัง  ทั้งนี้เพื่อปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของจีน และเพื่อปกป้องระเบียบการค้าเสรีของโลก รวมถึงความยุติธรรมและความเป็นธรรมของมนุษยชาติ

สหรัฐฯ เป็นผู้เริ่มต้นสงครามการค้า ท้ายที่สุดกลับส่งผลเสียทั้งต่อผู้อื่นและตัวเอง ผู้บริโภคชาวอเมริกันจะเป็นผู้แบกรับผลกระทบเป็นอันดับแรก ผลการวิจัยของสถาบัน Peterson Institute for International Economics (PIIE) ระบุว่า ท้ายที่สุด ต้นทุนด้านภาษีกว่า 90% จะตกที่ผู้นำเข้า ธุรกิจปลายน้ำ และผู้บริโภคในสหรัฐฯ  ความผันผวนของตลาดหุ้นและพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เป็นเหมือนรถไฟเหาะในช่วงนี้ ก็ได้สะท้อนถึงความจริงข้อนี้แล้ว 

ประเทศจีนมีสำนวนโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ยกก้อนหินขึ้นมา แต่กลับหล่นทับขาตัวเอง” ข้าพเจ้าเชื่อว่า การที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีในทางที่ไม่เหมาะสม ไม่เพียงแต่จะถูกต่อต้านจากนานาประเทศ ยังจะถูกคัดค้านโดยประชาชนชาวอเมริกันที่ชาญฉลาดอีกด้วย

มองความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-ไทยหลังจากนี้อย่างไร? 

จีน-ไทย มีภูมิประเทศที่เชื่อมต่อกัน มีอนาคตที่ร่วมกัน เป็นคู่ค้าสำคัญทั้งด้านการค้าและห่วงโซ่อุตสาหกรรม ท่ามกลางความปั่นป่วนของระบบเศรษฐกิจโลก จีนและไทยควรร่วมมือกัน ยึดมั่นในหลักการค้าเสรีและการเปิดกว้าง ยึดมั่นในการดำเนินความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ส่งเสริมการค้าระหว่างกันและการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุตสาหกรรม ในขณะเดียวกัน เรายังควรปกป้องระเบียบการค้าโลก ร่วมมือใช้กลไกความร่วมมือจีน-อาเซียน องค์การการค้าโลกและเวทีอื่น ๆ  เรียกร้องให้ทุกประเทศยึดมั่นในหลักการที่ไม่กีดกัน เปิดกว้าง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพื่อร่วมกันปกป้องและสร้างสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่มีความร่วมมืออย่างเปิดกว้าง

จีนจะยังคงเดินหน้าขยายการเปิดประเทศอย่างต่อเนื่อง และแบ่งปันโอกาสแห่งการพัฒนากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จีนมีประชากร 1.4 พันล้านคน และมีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่เกือบ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เรายินดีต้อนรับผลิตภัณฑ์คุณภาพดีจากประเทศไทยให้เข้าสู่ตลาดจีนเพิ่มมากขึ้น ฝ่ายจีนจะสนับสนุนให้รัฐบาลท้องถิ่น องค์กรภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศ เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น อีกทั้งจะสนับสนุนให้บริษัทจีนในประเทศไทยใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุตสาหกรรมในท้องถิ่นของไทยให้เต็มที่ ร่วมมือกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทยในการพัฒนา เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย รวมถึงส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวของไทย 

จีนพร้อมจับมือกับไทยเพื่อสร้างต้นแบบแห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่เอื้อประโยชน์ร่วมกัน เพิ่มความมั่นคงภายใต้สถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน และเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่การเติบโตของเศรษฐกิจโลก

View post on Facebook

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์