ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) พร้อมด้วย ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ และจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางมายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะเครือข่ายประชาชนสังเกตการณ์เลือกตั้ง’66 เพื่อขอให้ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างเร็วที่สุด
ยิ่งชีพ กล่าวว่า ขณะนี้ครบ 1 เดือนหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น เหลือเพียงขั้นตอนการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ หากไม่มีขั้นตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ในระยะเวลา 30 วัน ถือว่า เป็นเวลาที่นานพอสมควร แม้ว่า ตามกฎหมาย กกต.จะมีเวลาถึง 60 วันในการประกาศรับรองผล แต่ กกต.ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ในการเลือกตั้งปี 2544 กกต.ใช้เวลาเพียง 16 วัน ส่วนการเลือกตั้งปี 2548 กกต.ใช้เวลาเพียง 29 วัน การเลือกตั้งปี 2554 ใช้เวลาเพียง 24 วัน ขณะที่การเลือกตั้งซึ่งใช้เวลานานที่สุดก็คือ การเลือกตั้งปี 2562 ใช้เวลาไป 45 วัน แต่ในขณะนั้นมีคำอธิบายว่าจะต้องรอพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกให้เสร็จสิ้นก่อน แต่สำหรับการเลือกตั้งปี 2566 ไม่มีคำอธิบายว่า ทำไมจึงยังไม่ประกาศรับรองผล ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็ได้ทวงถามมาแล้วครึ่งหนึ่ง ก็มีคำอธิบายว่าจะมีการนับคะแนนใหม่เป็นรายหน่วย แต่การนับคำแนนใหม่ได้เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดังนั้น วันนี้ไม่มีเหตุผลใดที่ กกต.จะประกาศไม่รับรองผล ซึ่งระยะเวลา 30 วันถือว่า นานอย่างมาก เมื่อเทียบกับอดีต แต่ทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยี มีเครื่องมือทำให้การประกาศผลไม่นานเช่นนี้ เพราะยิ่งนานจะทำให้เกิดความอึดอัด และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยกับประชาชน
ด้าน ภัสราวลี กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ยิ่ง กกต.รายงานผลช้า ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ดีกับ กกต. ดังนั้น กกต.ต้องรีบรับรองผลให้เร็วที่สุด เพื่อให้กระบวนการทางประชาธิปไตยดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างปกติ และการร่างรัฐธรรมนูญก็จะช้าขึ้นไปอีก หาก กกต.รับรองผลช้า ยิ่งรับรองช้า ยิ่งไม่เกิดผลดีกับประเทศ ย้ำว่า มาด้วยเหตุผล ไม่ได้มากดดัน ทั้งนี้ หากเกิดกระบวนการใดขัดขวางกระบวนการทางประชาธิปไตย และขัดขวางรัฐบาลใหม่ที่ประชาชนเลือกมา คงไม่ใช่แค่พวกเราที่ออกมาส่งเสียง แต่จะมีประชาชนอีกหลายคนออกมาส่งเสียงด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกับ จตุภัทร์ ที่ขอให้ กกต.รับรองผลให้เร็วที่สุด พร้อมระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายนนี้ เวลา 18.00 น. จะเดินทางไปแสดงจุดยืนการรับรองผลการเลือกตั้งที่ล่าช้า ที่หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพฯ
ยิ่งชีพ กล่าวว่า ขณะนี้ครบ 1 เดือนหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น เหลือเพียงขั้นตอนการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ หากไม่มีขั้นตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ในระยะเวลา 30 วัน ถือว่า เป็นเวลาที่นานพอสมควร แม้ว่า ตามกฎหมาย กกต.จะมีเวลาถึง 60 วันในการประกาศรับรองผล แต่ กกต.ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ในการเลือกตั้งปี 2544 กกต.ใช้เวลาเพียง 16 วัน ส่วนการเลือกตั้งปี 2548 กกต.ใช้เวลาเพียง 29 วัน การเลือกตั้งปี 2554 ใช้เวลาเพียง 24 วัน ขณะที่การเลือกตั้งซึ่งใช้เวลานานที่สุดก็คือ การเลือกตั้งปี 2562 ใช้เวลาไป 45 วัน แต่ในขณะนั้นมีคำอธิบายว่าจะต้องรอพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกให้เสร็จสิ้นก่อน แต่สำหรับการเลือกตั้งปี 2566 ไม่มีคำอธิบายว่า ทำไมจึงยังไม่ประกาศรับรองผล ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็ได้ทวงถามมาแล้วครึ่งหนึ่ง ก็มีคำอธิบายว่าจะมีการนับคะแนนใหม่เป็นรายหน่วย แต่การนับคำแนนใหม่ได้เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดังนั้น วันนี้ไม่มีเหตุผลใดที่ กกต.จะประกาศไม่รับรองผล ซึ่งระยะเวลา 30 วันถือว่า นานอย่างมาก เมื่อเทียบกับอดีต แต่ทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยี มีเครื่องมือทำให้การประกาศผลไม่นานเช่นนี้ เพราะยิ่งนานจะทำให้เกิดความอึดอัด และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยกับประชาชน
ด้าน ภัสราวลี กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ยิ่ง กกต.รายงานผลช้า ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ดีกับ กกต. ดังนั้น กกต.ต้องรีบรับรองผลให้เร็วที่สุด เพื่อให้กระบวนการทางประชาธิปไตยดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างปกติ และการร่างรัฐธรรมนูญก็จะช้าขึ้นไปอีก หาก กกต.รับรองผลช้า ยิ่งรับรองช้า ยิ่งไม่เกิดผลดีกับประเทศ ย้ำว่า มาด้วยเหตุผล ไม่ได้มากดดัน ทั้งนี้ หากเกิดกระบวนการใดขัดขวางกระบวนการทางประชาธิปไตย และขัดขวางรัฐบาลใหม่ที่ประชาชนเลือกมา คงไม่ใช่แค่พวกเราที่ออกมาส่งเสียง แต่จะมีประชาชนอีกหลายคนออกมาส่งเสียงด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกับ จตุภัทร์ ที่ขอให้ กกต.รับรองผลให้เร็วที่สุด พร้อมระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายนนี้ เวลา 18.00 น. จะเดินทางไปแสดงจุดยืนการรับรองผลการเลือกตั้งที่ล่าช้า ที่หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพฯ
