










ภายหลัง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการแล้ว นายกฯ เดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล โดยขบวนรถนายกฯ ได้จอดอยู่บริเวณประตู 1 จากนั้นนายกฯ ได้เดินลงจากรถ และเดินเข้าไปยังตึกไทยคู่ฟ้า และได้ถ่ายรูปกับเด็กๆ ระหว่างทาง โดยมี ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ชูศักดิ์ ศิรินิล รมต. ประจำสำนักงานนายกรัฐมนตรีมารอต้อนรับ
ก่อนที่นายกฯ จะไปยังห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบฯ โดย วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้นำเด็กนักเรียนและเยาวชน ที่มีความสามารถ และเป็นเยาวชนผู้ด้อยโอกาสจากบ้านเฟื่องฟ้า มานั่งเก้าอี้นายกฯ พร้อมถ่ายภาพร่วมกับนายกฯ และรับของที่ระลึก จำนวน 10 คน
จากนั้นเวลา 10.00 น. นายกฯ เดินจากตึกไทยคู่ฟ้ามายังตึกสันติไมตรี โดยมีขบวนกลองยาวจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) นำขบวนนายกฯ ทันทีที่นายกฯ ถึงตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ได้ชมการแสดงฟ้อนบายศรีหลวง จากเด็กและเยาวชนจากบ้านเฟื่องฟ้า บ้านนนทภูมิ บ้านราชาวดีหญิง และบ้านราชาวดีชายและการแสดงชุด Under The sea จินตลีลาประกอบเพลงโดยสมาคม เยาวชนจิตอาสาพัฒนา และบทเพลง Part of Your World ขับร้องโดย ด.ญ.อัยย์ ธรรมวาริน
โดยนายกฯ ได้กล่าวให้โอวาทว่า วันนี้ เป็นปีแรกของตนในฐานะนายกฯ ที่ได้มีโอกาสมาเปิดงานวันเด็ก คำขวัญวันเด็กปีนี้ คือ ‘ทุกโอกาสคือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง’ ตัวเองเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย จริงๆ แล้วทุกโอกาสถ้าเราสามารถเรียนรู้ได้จากเหตุการต่างๆ คนต่างๆ ที่มีหลายอาชีพหลายประสบการณ์ โอกาสเหล่านั้นจะสามารถเพิ่มความรู้ให้เราได้อันนั้นเป็นกำไรกับชีวิต เราสามารถหาความรู้ได้จากทุกภาคส่วน การที่เราเป็นคนที่รับฟังเปิดกว้างเราสามารถเรียนรู้ได้จากทุกคน โลกที่ปรับตัวอย่างรวดเร็วเราต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน การที่เรารู้ตัวและพร้อมปรับตัวเสมออันนั้นคืดสิ่งดี อยากให้น้องๆ มีสิทธิเลือกอนาคตของตัวเอง ชอบอะไร อยากทำอะไรเพื่อสังคมเพื่ออนาคตของตัวเองก็ขอให้มีสิทธิเลือก แต่ก็อยากมีผู้ใหญ่ที่มีมีประสบการณ์ มีความรู้ คอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างๆ เราก็จะดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติมีข้อมูล และเลือกอนาคตที่เราชอบได้ในส่วนของรัฐบาล ก็มีนโยบายโครงการ ODOS (โอดอส) 1 อำเภอ 1 ทุน ไม่น้อยกว่า 1,000 ทุนต่อรุ่น รวมถึงอยากให้เด็กไทยได้มีโอกาสเปิดประสบการต่างประเทศก็จะมีนโยบาย โอดอส ซัมเมอร์แคมป์ มีระยะเวลา 5-6 สัปดาห์ เดินทางไปทั่วโลกครอบคลุมทั้ง 878 อำเภอและ 50 เขตในกทม. รวมแล้ว 928 พื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้เด็กไทยได้เปิดโลกกว้าง นำวัฒนธรรมต่างๆมาปรับใช้ นอกจากนี้เรายังเดินหน้าต่อ มาตรการ Thailand Zero Dropout ให้เด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาเข้าสู่ระบบ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่สมัย เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เราก็ดำเนินการต่อ เพื่อเพิ่มโอกาสให้เด็กได้กลับมาศึกษาและเพิ่มโอกาสทำงานในอนาคต
“เด็กทุกคนมีวัยเด็กที่แตกต่างกันไป อย่างพี่เองก็มีวัยเด็กที่แตกต่างจากน้องๆ สมัยก่อนไม่มีไอแพท โทรศัพย์ ไลน์ก็ไม่มี เรามีเทคโนโลยีแล้วก็จริง แต่อยากให้ใช้เวลากับคนที่อยู่ข้างหน้าด้วย จะได้เรียนรู้ความแตกต่างของเพื่อนๆ ได้นั้น คือสิ่งสำคัญของวัยเด็ก สำหรับผู้ปกครองที่อยู่ในที่นี้ มีคำพูดที่ว่าการเป็นพ่อแม่ที่ดีเป็นอย่างไรตนมีลูกสองคน ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นแม่ที่ดีแล้วหรือยัง เอ๊ะ เราให้เวลาลูกน้อยไปหรือเปล่า เอ๊ะหลายๆอย่าง เอ๊ะเราสอนลูกถูกไหม เราตามใจไปหรือเปล่า คุณพ่อคุณแม่อาจมีคำถามเหล่านั้นในใจ เข้าใจได้ แต่ได้ยินมาคำหนึ่งแล้วรู้สึกชอบ เป็นกำลังใจให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นคำว่า พ่อแม่ที่ดีคือพ่อแม่ที่มีความสุข มั่นใจว่าพ่อแม่ในห้องนี้เป็นพ่อแม่ที่มีความสุข ซึ่งจะสะท้อนมาถึงลูก และเราเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง แต่พ่อแม่ที่มีความสุขที่ซัพพอร์ตและให้กำลังใจลูกอยู่เสมอ นั้นคือพ่อแม่ที่ลูกของเราต้องการ ขอให้กำลังใจพ่อแม่ทุกท่านเลี้ยงลูกให้เป็นความสุขของเขาและเป็นความภูมิใจที่เราได้เห็นพวกเขาเติบโตขึ้นทุกวันอย่างสมวัย วันเด็กปีนี้ขออวยพรทุกท่านเติบโตมีสุขภาพแข็งแรงเป็นเด็กๆที่สดใส มีคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้องที่ห่วงใยดูแล มีเพื่อนที่ดี เรียนเก่งเก่ง อยากได้อะไรขอให้ได้ตามนั้น และเป็นกำลังของประเทศชาติต่อไปในอนาคต”
แพทองธาร กล่าว
จากนั้น เวลา 10.40 น. ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) นายกรัฐมนตรี นั่งล้อมวงร่วมพูดคุยกับตัวแทนเด็กและเยาวชนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จากกรุงเทพมหานคร นครปฐม และสมุทรปราการ จำนวน 40 คน และผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จำนวน 6 คน จากภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ประกอบด้วย โรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ธานี โรงเรียนนารีนุกูลอุบลราชธานี โรงเรียนสมาคมพยาบาลไทยจังหวัดน่าน และโรงเรียนมัธยมพระราชทานเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน
“พี่จบจากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เป็นโรงเรียนหญิงล้วน จบแล้วไปต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 1 ถึงปี 4 และเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ เรียนจบสาขาโรงแรมเพราะว่าที่บ้านทำธุรกิจโรงแรมก็เลยอยากทำต่อ สรุปมาทำการเมืองแทน ความจริงอะไรที่เราแพลนไว้ ไม่ได้ตามที่เราแพลนทุกอย่าง คำขวัญวันเด็กถึงได้พูดว่าพร้อมปรับตัวสู่อนาคตวันนี้น้องๆ มีคำถามอะไรถามได้เลย”
นายกฯ กล่าวกับเด็กๆ
โดยนักเรียนจากโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ได้ถามนายกฯ ว่า “เหนื่อยหรือเปล่า กับการทำงานในตำแหน่งนายกฯ” ซึ่งนายกฯ ตอบว่า “คิดว่าทุกตำแหน่งเหนื่อยคนละแบบ ความจริงเป็นนายกฯเหนื่อย แต่เหนื่อยปกติ อาจจะมีวันหยุดน้อยหน่อย เพราะเราหยุดอาจจะโดนว่าก็เลยทำให้ไม่ได้หยุด เป็นนายกฯ หยุด อาจจะผิดเล็กน้อย แต่ความจริงไม่เหนื่อยเพราะมีกำลังใจที่ดี เวลาผลงานที่ทำออกไปแล้ว เราทำด้วยความตั้งใจเพราะเราตั้งใจทำ บางคนบอกว่าได้รับประโยชน์มันอิ่มใจ ใจมันฟู สิ่งที่กำลังจะทำเรื่องของทุนการศึกษา ถ้ามีใครได้มีโอกาสในการศึกษาเพิ่มขึ้นจากรัฐบาลนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้หายเหนื่อย เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจทำงานให้นโยบายออกเยอะๆ ประชาชนได้ประโยชน์เยอะ ก็จะหายเหนื่อย”
จากนั้น เด็กนักเรียนจากโรงเรียนหอวัง เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ถามว่า “เป็นผู้นำหญิงที่อายุน้อยที่สุดคิดว่ามันยากหรือไม่” นายกฯ ตอบว่า “ทุกอายุมีความสามารถ การเป็นนายกฯ อายุน้อยที่สุดสร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศไทย ความจริงแล้วคิดว่า เนื้องานของการทำงานไม่ได้ต่างกับผู้ชาย แน่นอนมันก็ยังมีในเรื่องของความบูลลี่นิดนึงในความที่เราเป็นผู้หญิง อันนี้ถ้าสังคมเปิดกว้างขึ้น โลกเปิดกว้าง มีการพัฒนาตรงนี้มากขึ้น และเข้าใจมากขึ้นคิดว่าตรงนี้จะน้อยลง ซึ่งเคยอ่านหนังสือเขาบอกว่านักการเมืองหญิงทั่วโลกจะถูกบูลลี่ในเรื่องต่างๆ สมมุติว่าเป็นผู้หญิงทำไมใส่ชุดนี้ ชุดนั้น แต่ผู้ชายใส่ชุดสูทชุดเดียวจบ ก็เลยไม่มีใครสนใจ สิ่งที่ยากคือตรงนี้ เพราะเราเป็นผู้หญิงโดนบูลลี่ในเรื่องนี้ ถามว่า ทำอย่างไร เราต้องรู้คุณค่าของตัวเราก่อน ต้องรู้ว่าเรามาทำตรงนี้ เพื่ออะไร มีความตั้งใจอย่างไร เรามีดีอะไรบ้าง เราอยากทำเรื่องดีๆ ให้ใครบ้าง อันนี้คือสิ่งที่เราตั้งใจ และต้องมีสติเยอะๆ คำว่าสติสอนกันมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ว่า ให้มีสติ เราฟังผ่านๆ แต่เมื่อโตขึ้น เมื่อชีวิตมีเรื่องที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น เราก็จะคิดว่าคำนี้มันสำคัญ พี่ขอบอกไว้ก่อน เผื่อโตขึ้นไป จะรู้สึกว่า คำนี้สำคัญมากคือคำว่าสติ”
ต่อมา เด็กนักเรียนจากโรงเรียนราชวินิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ อยากถามนายกฯ ว่า “อะไรคือแรงบันดาลใจของนายกฯ” โดยนายกฯ ตอบว่า “แรงบันดาลใจมีหลายอย่าง แรงบัลดาลใจที่หนึ่ง คือ คุณพ่อพี่ เคยเป็นนายกฯ เคยทำนโยบายไว้ให้ประเทศชาติ จนถึงทุกวันนี้คือนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนฝั่ง นโยบายนี้ยังอยู่ ยังได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ ทำให้พี่รู้สึกว่าพี่อยากทำนโยบายนี้ ไม่ว่าตัวพี่ไปอยู่ที่ไหน แต่ประโยชน์นี้ยังอยู่ที่ประชาชนอยู่ ถ้าทำได้ พี่จะรู้สึกมีความภูมิใจ และรู้สึกว่าเรื่องดีๆ ยังตกอยู่ที่ประชาชนไม่ว่ามันจะเปลี่ยนไปกี่ยุค กี่สมัยก็ตาม อันนี้คือแรงบันดาลใจแรก ส่วนแรงบันดาลใจที่สอง พี่คิดว่า จากที่เห็นประเทศชาติวุ่นวายแล้วเรามีโอกาสมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ทำเรื่องต่างๆ ให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ และแรงบัลดาลใจที่สาม คือลูกๆ อย่างน้อยๆ ในเทอมที่เป็นนายกฯ พี่ได้สร้างสิ่งดีๆ ไว้ให้กับประเทศ นั่นก็เป็นการเตรียมพร้อมอนาคตส่วนหนึ่งให้กับลูกๆ ด้วย”
เด็กจากโรงเรียนสมาคมพยาบาลไทยจังหวัดน่าน ถามนายกฯ ว่า “ได้เห็นพี่อิ๊งค์ทำกับข้าวให้ลูกๆกิน คิดว่าพี่อิ๊งค์เป็นแม่ที่ใจดี และมีเมนูอาหารที่จะมาแนะนำพวกหนูหรือไม่” โดยนายกฯ ยิ้มเขินก่อนตอบว่า “พี่ตอบเสร็จแล้ว ไม่ต้องเชิญพี่ไปออกรายการทำอาหารที่ไหน สมัยตอนที่พี่มีลูกคนแรกลูกสาว 4 ขวบ ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด-19 ทำอาหารให้ลูกทานได้ 3 มื้อ เพราะว่าเราอยู่บ้านไปซูเปอร์มาร์เกตเอง ซื้ออาหารทำเอง แต่ว่า ลูกยังพูดไม่ได้ ก็เลยไม่มีคอมเมนต์ว่า เขาชอบหรือไม่ชอบ แต่พอทานได้อยู่ และเมนูโปรดที่ทำกับลูกคือ ทำอะไรที่เด็กๆ ชอบทาน ที่บ้านปลูกผักปลอดสารพิษให้น้องๆ ไปเก็บผักและนำมาทอดกรอบ เราเรียกกันง่ายๆ ในบ้านว่า บุ้งกรอบ มันทำง่ายๆ ก็แค่ผสมแป้งสำเร็จรูปและชุปให้เด็กๆ ทอด ซึ่งคนถามว่า ไม่กลัวร้อนหรอ ซึ่งเด็กประมาณ 3-4 ขวบ เราบอกเขาได้ อย่าไปห้าม ไปตัดโอกาสเขาทุกอย่าง เขาบอกว่า เด็กอย่าไปตัด แต่ให้เติม ทั้งนี้ ที่ทำเมนูบุ้งกรอบ เพราะเด็กๆ ชอบทานผักบุ้งทอดกรอบ เมื่อเขาทำเองจะได้มีความภูมิใจในการทอดทีละอัน และอีกเมนูหนึ่งที่ทำง่ายๆ คือให้ฝึกทอดไข่เจียว ให้เลือกรสชาติที่ชอบ แต่แม่คอยย้ำว่าอย่าเค็มเกินไป แต่จะให้ทำเมนูที่ยากมากกว่านี้ คงต้องไปเรียน อย่างแกงพะแนง และแกงเขียวหวาน แม่ทำไม่เป็น”
ต่อจากนั้น นายกฯ ได้ถ่ายภาพกับนักเรียน Thailand Zero Dropoutนักเรียนนอกระบบการศึกษาที่ได้รับการนำกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง และกลุ่มเยาวชนที่ชนะการแข่งขันกีฬาประเภทจักรยานทรงตัวในรายการแข่ง RSR Runbike Championship in Songkhla ทั้งนี้ตัวแทนนักเรียนได้มอบตุ๊กตาทำมือให้กับนายกฯ ท่ามกลางบรรยากาศภายในงานที่เป็นไปอย่างคึกคัก มีเด็กๆ ขอถ่ายรูปและขอลายเซ็นนายกฯ จำนวนมาก
ต่อมา ในเวลา 11.20 น. นายกฯ ได้อุ้ม ‘น้องธาษิณ พฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์’ ลูกชาย และ ปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีได้จูงมือ ‘น้องธิธาร สุขสวัสดิ์’ ลูกสาวคนโต ลงมาจากตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมด้วยลูกฝาแฝดชายหญิง โทนี่ และ ทีน่า ของ พานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย โดยน้องธาษิณได้หันไปทางแสตนดี้หมูเด้ง แพทองธารจึงพาลูกและหลานไปดูหมูเด้ง โดยน้องธาษิณได้เอามือไปตีหมูเด้งเล่นอย่างสนุกสนาน
จากนั้น แพทองธาร ได้ทักทายเด็กๆ และผู้ปกครองที่มาร่วมงานอย่างเป็นกันเอง และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้จัดงาน โดยช่วงหนึ่ง แพทองธารได้แวะถ่ายรูปหน้ารถหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ที่นำภาพยนตร์เรื่องต่างๆ มาฉายให้กับเด็กๆ หนึ่งในนั้น เป็นหนังบ้านของสุพจน์ ธวัชชัยนันท์ นักธุรกิจและนักถ่ายภาพยนตร์สมัครเล่น เพื่อนของเลิศ ชินวัตร บิดาของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ความยาว 4 นาที ถ่ายทำด้วยฟิล์มภาพยนตร์ 16 มม. ซึ่งถ่ายกิจกรรมครอบครัวไว้เป็นที่ระลึก เป็นช่วงเวลาที่สุพจน์ได้พาพิทักษ์ ธวัชชัยนันท์ บุตรชายและหลานๆ รวมทั้งทักษิณไปเที่ยวทะเลหัวหินเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการบันทึกภาพการเล่นน้ำทะเลของสองครอบครัวเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ทักษิณได้มาที่กรุงเทพฯ และเห็นน้ำทะเล เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2503
โดยช่วงเวลานั้น สุพจน์ทำธุรกิจเครื่องจักรการเกษตรนำเข้าจากเยอรมนี ทำให้ได้รู้จักและร่วมธุรกิจกับเลิศ บิดาของทักษิณ ซึ่งมีกิจการสวนลำไยที่จ.เชียงใหม่ ทั้ง 2 ครอบครัวไปมาหาสู่และสนิทสนมกัน โดยเมื่อปี 2542 พิทักษ์ได้นำผลงานดังกล่าวของบิดา มอบให้หอภาพยนตร์อนุรักษ์
จากนั้น เวลา 12.25 น. นายกฯ พร้อมครอบครัวได้เดินทางกลับจากทำเนียบฯ
ทั้งนี้ เวลา 12.43 น. แพทองธาร ได้ทวีตข้อความผ่าน X เป็นภาพครอบครัววัยเด็ก ที่มี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ บิดา ,คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ มารดา ,พานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย และพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์พี่สาว พร้อมข้อความ ระบุว่า “ #สุขสันต์วันเด็ก นะคะ ขอให้เด็กๆ ทุกคน ใช้ชีวิตวัยเด็กให้เต็มที่ ยืดหยุ่น ปรับตัว สังคมจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่ขอให้น้องๆ เชื่อมั่นในตัวเองว่า ทุกคนจะปรับตัวกับมันได้ และใช้โอกาสนั้นเป็นการเรียนรู้ของตัวเอง ที่สำคัญ มีความสุขในทุกๆ วันค่ะ #ทุกโอกาสคือการเรียนรู้พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง #นายกพี่อิ๊งค์ #วันเด็ก2568”