อ่านท่าที ‘ขบวนการต้านทักษิณ’ ผ่านสายตา ‘จตุพร พรหมพันธุ์’

15 ม.ค. 2567 - 09:54

  • ชวนอ่านความเคลื่อนไหวของ 'ขบวนการต่อต้านทักษิณ' ผ่านท่าที่ของ กลุ่ม คปท. และ กมธ. ตำรวจ ผ่านสายตาของ 'จตุพร พรหมพันธุ์' อดีตแกนนำเสื้อแดง 'ศัตรูเก่า' ของกลุ่มกปปส.พร้อมวิเคราะห์หน้าฉากการเมือง ตามในมิติ 'ฟางเส้นสุดท้าย' เกิดขึ้นได้เสมอ

Jatuprom-Prompan-Red-Shirt-mob-Anti-Thaksin-SPACEBAR-Hero (1).jpg

นับสิบปีแล้วที่ขบวนการต่อต้าน ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ถอยห่างจากถนนการเมือง หลังจาก ‘คสช.’ เข้าทำรัฐประหาร ‘รัฐบาลยิ่งลักษณ์’ และล้างไพ่ความขัดแย้ง จนเกิดการสลายตัวของ ‘ม็อบสีเสื้อ’ ครั้นถึงวาระเลือกตั้งใหญ่ 14 พฤษภาคม 2566 มาจนถึงช่วงฟอร์มทีมรัฐบาลผสม การพูดถึง ‘คนแดนไกล’ กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวไปเสียแล้ว หลัง ‘นายห้างดูไบ’ บินลัดฟ้ากลับมารับโทษ ในวันเดียวกันกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จนได้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ซีอีโอถุงเท้าหลากสี เข้ากุมบังเหียนคณะรัฐมนตรีข้ามขั้ว

ทว่า กระบวนการยุติธรรมที่ ‘ทักษิณ’ พึงได้รับฐานะ ‘นักโทษ’ กลับกลายเป็นที่สิ่งครหาของสาธารณชน หลังถูกจองจำในห้องพิเศษบนชั้น 14 รพ.ตำรวจ สร้างความไม่พึงพอใจต่อผู้เกรงกลัวต่อ ‘ระบอบทักษิณ’ กระทั่งผ่านไปเกินเลย 120 วัน เริ่มประจักษ์ความเคลื่อนไหว เพราะ ‘ราชทัณฑ์ - คณะแพทย์’ สร้างความคลุมเครือหลายประการ จนทำให้เกิดการเดินหน้าของกลุ่ม คปท. (กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย)  ที่ปักหลักชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้นำนักโทษกลับสู่เรือนจำ 

ขณะที่ กมธ.ตำรวจ (คณะกรรมมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร) ที่นำโดย ‘ชัยชนะ เดชเดโช’ สส.เมืองคอน และรองแม่ทัพพรรคประชาธิปัตย์ ผู้สวมหัวโขน ประธาน กมธ. นำทีมบุกตะลุย ขอเข้าศึกษาดูงานที่ รพ.ตำรวจ เมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา แม้จะไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ‘ห้องผู้ป่วยพิเศษ’ แต่ก็ขึ้นลิฟต์ไปถึงโถงทางเดินชั้น 14 

การนี้เรียกได้ว่า เป็นท่าทีล่าสุดของกลุ่มต่อต้านทักษิณ ในรอบทศวรรษ ที่เห็นภาพทั้งในระดับประชาชน รวมไปถึงผู้แทนฯ จากสภาหินอ่อน เข้าแสดงวิสัยทัศน์เชิงรุด 

ถึงแม้จะมีการตั้งคำถามเรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมือง หยิบโยงไปถึง ‘หนังหน้าไฟ’ แต่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่น่าถอดความ ว่าจะต่อเนื่องไปถึงระดับ ‘มวลมหาประชาชน’ แบบที่เคยกิดขึ้นหรือไม่ 

“นี่เป็นเพียงการจุดประกายไม่ใช่การชุมนุมใหญ่ แต่เป็นกระตุกสังคมเพื่อเรียกร้องความถูกต้องต่อกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นไปอย่าง 2 มาตรฐาน แม้จะจำนวนไม่มากแต่นี่คือจุดสตาร์ต เหมือนๆ กับขบวนการทางการเมืองที่เคลื่อนผ่านท้องถนนครั้งใหญ่ๆ ที่ผ่านมา ทุกอย่างมันมีชนวนก่อให้เกิดการลุกลามของเชื้อไฟได้ทั้งนั้น”

เป็นความเห็นของ ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ที่ตั้งข้อสังเกตถึงขบวนการขับเคลื่อนของกลุ่ม คปท. ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอดีตแกนนำคนเสื้อแดง อธิบายเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ในวันข้างหน้าเกิดขึ้นได้ทุกมิติ เพลิงอาจมอดดับกลายเป็นขี้เถ้า หรือจะกลายเป็นไฟลามทุ่งได้ทุกเมื่อ ขึ้นอยู่กับท่าทีของรัฐบาล และหน่วยงานราชการที่ดูแลทักษิณ เพราะฟางทุกเส้นล้วนสำคัญ เปรียบเสมือนชนวนนำความร้อนชั้นดีมาแต่ไหนแต่ไร คล้ายคลึงกับการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. หลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผลักดัน 'กฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย'

การด้วยมีมวลชนที่ออกมาริเริ่ม หรือร่วมขบวนการมาจากหลายเครือข่าย ทั้ง เหลือง - แดง ควบรวมกัน ยิ่งไม่ต้องกัววลเรื่องความบาดหมางในอดีต และจะไม่ทำให้เกิดการสะดุด เพราะสงครามสีเสื้อจบลงไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 จากการจับมือรวมอำนาจของพรรคเพื่อไทย และพรรคการเมืองขั้วอนุรักษ์นิยม

“เรื่องสีเสื้อมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะทุกอย่างจบไปตั้งแต่พรรคอนุรักษ์นิยมโหวตให้คุณเศรษฐาเป็นนายกฯ แล้ว ทุกขั้วมันถูกละเลงออกหมดตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้เป็นเรื่องของประชาชนที่จะเห็นว่า สิ่งใดถูกผิด มันคือความขัดแย้งบทใหม่เรื่อง 2 มาตรฐาน”

ในส่วนที่หลายภาคส่วนมองต่อ กมธ.ตำรวจ ที่นำโดย ‘ชัยชนะ’ ว่าอาจเป็นการแสดงละครหน้าฉาก บุกชั้น 14 รพ.ตำรวจนั้น จตุพร ให้ความเห็นว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับสภาผู้แทนราษฎรด้วย เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าของสถานที่ อย่าง โรงพยาบาล และกรมราชทัณฑ์ การทำงานของ กมธ. ที่มาจากรัฐสภา จึงมีข้อจำกัดดังกล่าวเป็นกรอบในการปฏิบัติหน้า 

แต่ประชาชนย่อมทราบข้อเท็จจริง ว่าการเดินทางไป รพ.ตำรวจ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความย้อนแย้งหลายประการเกิดขึ้น อย่างกรณีที่ คณะแพทย์ให้ทีมงานของชัยชนะเข้าไปแค่บางส่วนของชั้น 14 แต่สำหรับชั้นที่เปิดให้ผู้ต้องขังทั่วรับการรักษาแบบ ไปกลับ กลับเปิดโอกาสให้เข้าไปสังเกตการณ์ได้ ส่วนนี้คือสิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตกับหน่วยงานต่อ ว่าเหตุไฉนถึงไม่เปิดพื้นที่ให้ กมธ. ตำรวจได้ศึกษาอย่างเท่าเทียม

“ตอนเราอยู่เรือนจำ มีไม่รู้สิบคณะที่ไปศึกษาดูงาน เช่นเดียวกันเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาแถลงอาการโดยไม่ต้องสอบถามเรา ดังนั้นผมเห็นว่า คณะ กมธ.ตำรวจเขาก็ทำในส่วนที่จะทำได้เต็มที่ที่สุด ส่วนใครจะมองในมุมการเมืองก็แล้วแต่ สำหรับผมเขา (รัฐบาล) สมประโยชน์กันหมดแล้ว ไม่มีที่ว่างเพียงพอสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ และยิ่งเหตุการณ์ชุลมุนตอนเลือกหัวหน้าพรรคก็จบไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะสร้างละครขึ้น เพื่อรอโอกาสร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด”

จตุพร กล่าว

จตุพร ยกตัวอย่าง ที่ชัดเจนในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่เกิดขึ้นไปหมาดๆ ว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังคืนฟอร์มฝ่ายค้านคุณภาพ โดยหยิบยกเรื่องอำนาจยุติธรรมที่เอื้อต่อการจองจำของทักษิณ มาเป็นประเด็นเชิงรุก ซึ่งทำได้อย่างโดดเด่น มีประสิทธิภาพ ตามแบบที่พรรคถนัด ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์กำลังสร้างความชัดเจนอะไรบางอย่างอยู่ และย่อมรู้ว่าทางไหนจะเป็นทางหวนคืนสู่ความเป็นสถาบันการเมือง อย่างที่เคยเป็น  

ทั้งนี้ วิทยากรหลอมหลวมประชาชน ชี้เป้าจับตาว่า ความเคลื่อนไหวของมวลชนและชุดทำงานของรัฐสภา จะผันเปลี่ยนไปทิศทางไหนหรือไม่ ให้สังเกต ช่วงวันที่ 22 กุมภาพันธุ์ ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 180 วันการถูกจองจำของทักษิณ จะมีมาตรการ ‘พักโทษ’ ออกมาจากกรมราชทัณฑ์หรือไม่ รวมถึงกระแสการกลับสู่ประเทศไทยของคนแดนไกลอย่าง ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ที่มีข่าวลือสะพัดอยู่เนื่องๆ ทั้ง 2 สิ่งนี้ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในการนำไปสู่วาระรุกคืบของ ‘ขบวนการต่อต้านทักษิณ’ ซึ่งจะกระทบต่อการเมืองภาพใหญ่แน่นอน

ขอให้จับตาไว้ให้ดี…

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์