‘คำนูณ’ ชำแหละ 6 เสีย 2 ดี MOU 44 แบ่งขุมทรัพย์ ‘ไทย-กัมพูชา’

1 พ.ย. 2567 - 10:10

  • ‘คำนูณ’ ชำแหละ MOU 44 แบ่งขุมทรัพย์ใต้ทะเล ‘ไทย-กัมพูชา’ 6 ข้อเสีย 2 ข้อดี โดยเฉพาะ ‘เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ’ ชี้ MOU 44 ล็อกตัวเอง ต้องเจรจาทั้ง 2 ส่วนพร้อมกัน แบ่งเขตแดน-แบ่งผลประโยชน์ปิโตรเลียม เตือนระวังพวก ‘ศรีธนญชัย’

Kamnoon-MOU44-overlapping-territorial-claims-area-SPACEBAR-Hero.jpg

คำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค กรณีความเห็นต่างกันระหว่างการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ระหว่างไทยและกัมพูชา จากฝ่ายรัฐบาลและผู้ที่เห็นต่าง ในหัวข้อ MOU 2544 ชั่งน้ำหนัก 6 ข้อเสีย 2 ข้อดี ว่า 

ข้อเสียของ MOU 2544

1.ไทยไม่มีประเด็นใดๆ จะต้องเจรจาเรื่องกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด (อย่างน้อยก็ในส่วน “ตัวเกาะ”) เพราะเกาะกูดเป็นของไทยมา 127 ปีแล้วโดยสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 คนไทยทุกฟากความคิดเห็นตรงกันในข้อนี้ รัฐบาลกัมพูชาเองก็เริ่มยอมรับ จึงปรากฎเส้นเว้ารอบตัวเกาะด้านทิศใต้เป็นรูปตัว U ในแผนผังประกอบ MOU 2544

2.อาจเข้าข่ายว่าตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2544 วันที่ไทยจรดปากกาลงนามใน MOU 2544 ไทยยอมรับการคงอยู่โดยปริยายซึ่งเส้นเขตไหล่ทวีป ค.ศ. 1972 ด้านทิศเหนือ ซึ่งประกาศโดยกฤษฎีกา 439/72/PRK ของกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2515 ทั้ง ๆ ที่ตลอด 29 ปีก่อนหน้านั้นไทยตอบโต้กัมพูชาทุกรูปแบบมาโดยตลอด และอาจเข้าลักษณะ “กฎหมายปิดปาก” หากต้องเป็นความขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในอนาคต

หากมีวันนั้นในอนาคต อาจซ้ำรอยคดีพพาทปราสาทพระวิหาร (ภาคแรก) พ.ศ. 2505 ในอดีต

- การได้รับแผนที่ฝรั่งเศสอัตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรัก เมื่อปีค.ศ. 1908 แล้วไม่ทักท้วงทันที หรือในหลายปีต่อมา

- สมเด็จกระยาดำรงราชานุภาพเสด็จปราสาทพระวิหารเมื่อพ.ศ. 2472 พบเห็นการชักธงชาติฝรั่งเศส แล้วไม่ทักท้วง

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้ความสำคัญกับการตกลง รวมทั้งพฤติกรรมการแสดงออก ของคู่กรณี มากเป็นพิเศษ

ในบางกรณีให้ความสำคัญยิ่งกว่าถ้อยคำตามสนธิสัญญาเสียอีก

หมายเหตุ ข้อหักล้างข้อเสียกรณีที่ 2 นี้คือประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุการรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมานานแล้ว (การเข้าแก้ต่างในคดีปราสาทพระวิหาร ภาค 2 เมื่อปี 2556 เป็นการตีความคำพิพาดคดีเดิมเมื่อปี 2505) และรัฐบาลชุดเศรษฐา ทวีสิน ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 แจ้งให้ทุกหน่วยงานในทุกกระทรวงทบวงกรมทราบว่า ประเทศไทยไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในทุกกรณี หากมีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศที่มีบทเกี่ยวกับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้จัดทำ “ข้อสงวนไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ“ ไว้ในทุกกรณี ให้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัด 

เรื่องนี้ผมได้ยื่นกระทู้ถามสดในวุฒิสภา เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นมาตอบยืนยัน ถือเป็นการบันทึกไว้ในวุฒิสภาแล้ว

Kamnoon-MOU44-overlapping-territorial-claims-area-SPACEBAR-Photo V01.jpg

3.สารัตถะใน MOU 2544 เป็นคุณต่อกัมพูชามากกว่าไทย ในพื้นที่ทั้ง 2 ส่วนของข้อตกลง คือ ส่วนบนเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ และส่วนล่างเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ 

ส่วนบนเส้น 11 - กัมพูชาที่เสียเปรียบในการเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศยุคปัจจุบัน คือ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ข้อ 121 และข้ออื่น ๆ ชนิดแทบจะไม่มีประตูสู้ได้เลย เหลืออยู่ประตูเล็กๆ ประตูเดียวที่จะอ่างว่ากัมพูชายังไม่ได้ให้สัตยาบัน UNCLOS 1982 กลับสามารถหยิบยกเป็นประเด็นมาต่อรองกับการเจรจาตกลงแบ่งผลประโยชน์ในพื้นที่ส่วนล่างได้ โดยเป็นฝ่ายไทยเสียเองที่ยอมสละข้อได้เปรียบของประเทศตัวเอง

ส่วนล่างเส้น 11 - การกำหนดให้เจรจาเฉพาะแบ่งผลประโยชน์ ไม่เจรจาปักปันเขตแดน ทำให้การเจรจาหลุดออกจากหลักกฎหมายระหว่างประเทศ UNCLOS 1982 ที่ไทยได้เปรียบ แล้วไปยอมรับเส้นเขตไหล่ทวีปนอกกฎหมาย ค.ศ. 1972 ของกัมพูชามาเป็นเส้นกำหนดเขตแบ่งผลประโยชน์ทางทิศตะวันตกโดยไม่หือไม่อือ

เท่ากับประเทศไทยทิ้งความได้เปรียบในการเจรจาทั้งส่วนบนเส้น 11 และส่วนล่างเส้น 11 ไป

4.การยอมรับพื้นที่ส่วนล่างเส้น 11 เป็นพื้นที่แบ่งผลประโยชน์ทั้งหมด โดยนำเส้นเขตไหล่ทวีปนอกกฎหมาย ค.ศ. 1972 ของกัมพูชามาเป็นเส้นกำหนดเขตแบ่งผลประโยชน์ทางทิศตะวันตก ทำให้กัมพูชาได้รับผลประโยชน์ในส่วนที่ไม่สมควรจะได้รับ หรืออีกนัยหนึ่ง ทำให้ไทยไม่ได้รับผลประโยชน์ในส่วนที่สมควรจะได้รับ 

5.ทำให้การเจรจาจำกัดกรอบไว้ภายใต้รูปแบบเดียว ถ้าถึงทางตัน ก็ไปต่อไม่ได้ 

6.หากยึดสารัตถะรูปแบบการเจรจาตาม MOU ก็เท่ากับเป็นการเจรจานอกกรอบ UNCLOS 1982 ที่ไทยเป็นภาคีสมาชิก 1 ใน 160 ประเทศ

Kamnoon-MOU44-overlapping-territorial-claims-area-SPACEBAR-Photo01.jpg

ข้อดีของ MOU 2544

1.ทำให้มีกรอบการเจรจาที่ชัดเจน

หมายเหตุ ข้อดีที่ 1 มีข้อหักล้างที่ว่าหากกรอบการเจรจานั้นมีข้อเสียมากกว่าข้อดี ทำให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบ จะนับเป็นข้อดีได้หรือ

2.ลักษณะ ”ล็อกตัวเอง“ ของ MOU 2544 ที่กำหนดให้เจรจาทั้ง 2 ส่วน คือ ส่วนบนเส้น 11 เจรจาแบ่งเขตแดน และส่วนล่างเส้น 11 เจรจาแบ่งผลประโยชน์จากปิโตรเลียม ไป “พร้อมกัน“ และ ”ไม่อาจแบ่งแยกได้” ทำให้การเจรจาไม่มีทางสำเร็จได้ง่ายๆ

“พร้อมกัน” - to simultaneously 

“ไม่อาจแบ่งแยกได้” - as an indivisible package 

เพราะฝ่ายกัมพูชาต้องการเจรจาแต่เรื่องปิโตรเลียม ไม่ต้องการเจรจาเรื่องเขตแดน ฝ่ายไทยแยกเป็น 2 ความคิด กระทรวงการต่างประเทศต้องการเจรจาเรื่องเขตแดนให้ลุล่วงไปด้วยชัดเจนพร้อมกันเลย แต่ฝ่ายการเมืองบางส่วนและหน่วยงานด้านพลังงานต้องการเจรจาเรื่องปิโตรเลียมให้ลุล่วงไปก่อน

เมื่อไม่สำเร็จ ประเทศไทยก็ยังไม่เสียผลประโยชน์ ไม่ว่าเขตแดนหรือปิโตรเลียม

หมายเหตุ 1 - นี่เป็น “ข้อดีในด้านกลับ” ที่พรรคพวกผู้รู้ของผมบางท่านเมื่อได้ฟังแล้วก็บอกว่านี่เป็นทำนองเดียวกับสำนวนฝรั่งที่ว่า blessing in disguise เมื่อรัฐบาลยืนยันจะเอาแต่ MOU 2544 เราก็เฉยไว้ เพราะเดี๋ยวเราจะเจอ MOU ใหม่ที่ร้ายกว่าเก่า เช่นจะเจรจาเฉพาะเรื่องผลประโยชน์จากปิโตรเลียม 

หมายเหตุ 2 - บางคนในฝ่ายสนับสนุนเจรจาแบ่งผลประโยชน์จากปิโตรเลี่ยมตีความแบบศรีธนญชัยว่าที่ MOU 2544 ระบุให้เจรจา 2 เรื่องพร้อมกันและไม่อาจแบ่งแยกได้ ก็ไม่ได้บอกว่าต้อง ”เสร็จพร้อมกัน” นี่นา มีตรงไหนกำหนดไว้บ้าง 

นำข้อเสีย 6 และข้อดี 2 มาชั่งน้ำหนักกันได้

Kamnoon-MOU44-overlapping-territorial-claims-area-SPACEBAR-Photo02.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์