



ที่ศาลอาญา รัชดา ‘ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี’ เปิดเผยว่าได้รับมอบอำนาจจาก ‘เศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้มายื่นฟ้อง ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีถูกกล่าวหาว่าเลี่ยงภาษีที่ดิน ในขณะเป็นผู้บริหารสูงสุด ของ บริษัท แสนสิริฯ
‘ทนายวิญญัติ’ ชี้ว่าการแถลงข่าวของ ‘ชูวิทย์’ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงที่สภาฯ กำลังจะมีการเสนอชื่อให้ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกรัฐมนตรี การที่ ‘ชูวิทย์’ ออกมาพูดให้ร้ายในช่วงนี้ มีเจตนาที่ต้องการให้คนที่รับฟังเข้าใจว่า ‘เศรษฐา’ เป็นคนไม่ดี โกงภาษี ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำให้ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง รวมถึงมองว่า ‘ชูวิทย์’ มีเจตนาพูดข้อมูลไม่ครบ มีวาระซ่อนเร้นที่จะกลั่นแกล้ง ‘เศรษฐา’ และหวังผลทางการเมือง จึงเป็นที่มาของการฟ้องร้องครั้งนี้ และเรียกค่าเสียหายจาก ‘ชูวิทย์’ เป็นเงินจำนวน 500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
ย้ำว่า ‘เศรษฐา’ ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการซื้อขายที่ดินแปลงนี้ เพราะการซื้อขายอสังหาฯ มีทีมจัดซื้อที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ผู้บริหารสูงสุดไม่จำเป็นต้องลงไปรับทราบและดำเนินการทุกเรื่อง
ส่วนข้อสงสัยกรณีที่มีการโอนหุ้นคนละวัน รวม 12 วัน ‘ทนายวิญญัติ อธิบายว่าเป็นเพราะ ผู้ขายได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยการโอนแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน จึงไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมกัน จึงทำให้บุคคลแต่ละคนที่ถือกรรมสิทธิ์รวม เสียภาษีเงินได้ในฐานะบุคคลธรรมดา
‘ทนายวิญญัติ’ ยังบอกว่า อยากให้กำลัง ‘ชูวิทย์’ ที่กำลังป่วยอยู่ ในฐานะเพื่อนมนุษย์ และที่ต้องฟ้องไม่ใช่การรังแกคนป่วย เป็นคนละเรื่องกัน แต่การกระทำของ ‘ชูวิทย์’ เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดกฎหมายในการละเมิดผู้อื่น
ช่วงท้าย ‘ทนายวิญญัติ’ ยังเตือน ‘ชูวิทย์’ ว่าให้ย้อนกลับไปดแลลูกดีกว่า เพราะ บริษัท เสริมสุขเติมตระกูล ที่ประกอบธุรกิจโรงแรม และมีลูกของ ‘ชูวิทย์’ ถือหุ้นอยู่ 4 คน ทราบว่ามีคนกำลังเปิดหลักฐาน ว่าบริษัทนี้มีพฤติกรรมคล้ายกับที่ ‘ชูวิทย์’ มาแฉ ‘เศรษฐา’ ว่าเลี่ยงภาษี จึงอยากให้ ‘ชูวิทย์’ เอาเวลาไปเตรียมตัวให้ลูกดีกว่า
‘ทนายวิญญัติ’ ชี้ว่าการแถลงข่าวของ ‘ชูวิทย์’ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงที่สภาฯ กำลังจะมีการเสนอชื่อให้ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกรัฐมนตรี การที่ ‘ชูวิทย์’ ออกมาพูดให้ร้ายในช่วงนี้ มีเจตนาที่ต้องการให้คนที่รับฟังเข้าใจว่า ‘เศรษฐา’ เป็นคนไม่ดี โกงภาษี ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำให้ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง รวมถึงมองว่า ‘ชูวิทย์’ มีเจตนาพูดข้อมูลไม่ครบ มีวาระซ่อนเร้นที่จะกลั่นแกล้ง ‘เศรษฐา’ และหวังผลทางการเมือง จึงเป็นที่มาของการฟ้องร้องครั้งนี้ และเรียกค่าเสียหายจาก ‘ชูวิทย์’ เป็นเงินจำนวน 500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
ย้ำว่า ‘เศรษฐา’ ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการซื้อขายที่ดินแปลงนี้ เพราะการซื้อขายอสังหาฯ มีทีมจัดซื้อที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ผู้บริหารสูงสุดไม่จำเป็นต้องลงไปรับทราบและดำเนินการทุกเรื่อง
ส่วนข้อสงสัยกรณีที่มีการโอนหุ้นคนละวัน รวม 12 วัน ‘ทนายวิญญัติ อธิบายว่าเป็นเพราะ ผู้ขายได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยการโอนแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน จึงไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมกัน จึงทำให้บุคคลแต่ละคนที่ถือกรรมสิทธิ์รวม เสียภาษีเงินได้ในฐานะบุคคลธรรมดา
‘ทนายวิญญัติ’ ยังบอกว่า อยากให้กำลัง ‘ชูวิทย์’ ที่กำลังป่วยอยู่ ในฐานะเพื่อนมนุษย์ และที่ต้องฟ้องไม่ใช่การรังแกคนป่วย เป็นคนละเรื่องกัน แต่การกระทำของ ‘ชูวิทย์’ เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดกฎหมายในการละเมิดผู้อื่น
ช่วงท้าย ‘ทนายวิญญัติ’ ยังเตือน ‘ชูวิทย์’ ว่าให้ย้อนกลับไปดแลลูกดีกว่า เพราะ บริษัท เสริมสุขเติมตระกูล ที่ประกอบธุรกิจโรงแรม และมีลูกของ ‘ชูวิทย์’ ถือหุ้นอยู่ 4 คน ทราบว่ามีคนกำลังเปิดหลักฐาน ว่าบริษัทนี้มีพฤติกรรมคล้ายกับที่ ‘ชูวิทย์’ มาแฉ ‘เศรษฐา’ ว่าเลี่ยงภาษี จึงอยากให้ ‘ชูวิทย์’ เอาเวลาไปเตรียมตัวให้ลูกดีกว่า