เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (9 ส.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศให้มีการเลือกตั้ง สส.จังหวัดระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 เพื่อแทนตำแหน่งที่ว่าง หลัง ‘นครชัย ขุนณรงค์’ อดีต สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล ประกาศลาออกจากตำแหน่ง สส. เพื่อแสดงความรับผิดชอบ หลังถูก ‘พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส’ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เปิดเผยข้อมูลว่าเคยถูกตัดสินจำคุกในคดีลักทรัพย์ ทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็น สส.
ล่าสุดวันนี้ (10 ส.ค.) ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ เลขาธิการพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า ขณะนี้พรรคยังอยู่ในขั้นตอนการสรรหาและตรวจคุณสมบัติของว่าที่ผู้สมัคร
โดยพรรคจะจัดทำไพรมารี่ โหวต (Primary Vote) ในวันที่ 11 ส.ค. 66 เพื่อรับฟังความเห็นจากสมาชิกพรรคในพื้นที่จังหวัดระยอง ว่าเห็นควรส่งใครลงสมัครเลือกตั้งซ่อม เขต3 ในนามของพรรคก้าวไกล
จากนั้น วันอาทิตย์ที่ 13 ส.ค. 66 พรรคจะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ที่ อ.แกลง จ.ระยอง โดยมี ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปร่วมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครด้วยตัวเอง
ส่วนวันสมัครรับเลือกตั้งที่ กกต. กำหนดนั้น คาดว่าเป็นวันที่ 17 ส.ค. 66 โดย ‘พิธา’ จะเดินทางไปร่วมกิจกรรมด้วย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้สมัคร และเป็นการยืนยันความจริงจังต่อประชาชนชาวระยองที่เคยให้ความไว้วางใจเลือกพรรคก้าวไกลจนชนะการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 66 แบบแลนด์สไลด์ยกจังหวัดทั้ง 5 เขตมาแล้ว
ขณะที่ก่อนหน้านี้ ‘สาธิต ปิตุเตชะ’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดเผยว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะส่งคนลงชิงศึกเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ในฐานะที่เคยเป็นเจ้าของพื้นที่ โดยพรรคได้พูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมแล้ว ซึ่งทุกพรรคพร้อมเปิดทาง พรรคประชาธิปัตย์ส่งผู้สมัครเพียงพรรคเดียว เหลือเพียงพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังไม่ได้พูดคุย
ทั้งนี้หากย้อนดูผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 พบว่า อันดับ 1 คือ ‘นครชัย ขุนณรงค์’ จากพรรคก้าวไกล ได้ 29,034 คะแนน / อันดับ 2 คือ ‘พายัพ ผ่องใส’ จากพรรคพลังประชารัฐ ได้ 21,726 คะแนน / อันดับ 3 ‘บัญญัติ เจตนจันทร์’ จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 14,668 คะแนน / อันดับ 4 ‘ชัยณรงค์ สันทัสนะโชค’ จากพรรคเพื่อไทย ได้ 11,647 คะแนน และ อันดับ 5 ‘พลช กฤษณะราช’ จากพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ 3,772 คะแนน
จากผลการเลือกตั้งใน 5 อันดับแรก จะเห็นว่าพรรคก้าวไกลและพรรคพลังประชารัฐ มีคะแนนห่างกันแค่ 7308 คะแนน และพรรคประชาปัตย์ มีคะแนนห่างจากพรรคพลังประชารัฐ 7058 คะแนน จึงทำให้น่าสนใจว่าในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ พรรคก้าวไกลจะรักษาแชมป์ไว้ได้หรือไม่ หรือหากพรรคพลังประชารัฐ ยอมเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ ลงชิงชัยเพียงพรรคเดียว คะแนนเสียงในขั้วรัฐบาลเดิมจะเทมาให้พรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป
ล่าสุดวันนี้ (10 ส.ค.) ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ เลขาธิการพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า ขณะนี้พรรคยังอยู่ในขั้นตอนการสรรหาและตรวจคุณสมบัติของว่าที่ผู้สมัคร
โดยพรรคจะจัดทำไพรมารี่ โหวต (Primary Vote) ในวันที่ 11 ส.ค. 66 เพื่อรับฟังความเห็นจากสมาชิกพรรคในพื้นที่จังหวัดระยอง ว่าเห็นควรส่งใครลงสมัครเลือกตั้งซ่อม เขต3 ในนามของพรรคก้าวไกล
จากนั้น วันอาทิตย์ที่ 13 ส.ค. 66 พรรคจะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ที่ อ.แกลง จ.ระยอง โดยมี ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปร่วมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครด้วยตัวเอง
ส่วนวันสมัครรับเลือกตั้งที่ กกต. กำหนดนั้น คาดว่าเป็นวันที่ 17 ส.ค. 66 โดย ‘พิธา’ จะเดินทางไปร่วมกิจกรรมด้วย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้สมัคร และเป็นการยืนยันความจริงจังต่อประชาชนชาวระยองที่เคยให้ความไว้วางใจเลือกพรรคก้าวไกลจนชนะการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 66 แบบแลนด์สไลด์ยกจังหวัดทั้ง 5 เขตมาแล้ว
ขณะที่ก่อนหน้านี้ ‘สาธิต ปิตุเตชะ’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดเผยว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะส่งคนลงชิงศึกเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ในฐานะที่เคยเป็นเจ้าของพื้นที่ โดยพรรคได้พูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมแล้ว ซึ่งทุกพรรคพร้อมเปิดทาง พรรคประชาธิปัตย์ส่งผู้สมัครเพียงพรรคเดียว เหลือเพียงพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังไม่ได้พูดคุย
ทั้งนี้หากย้อนดูผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 พบว่า อันดับ 1 คือ ‘นครชัย ขุนณรงค์’ จากพรรคก้าวไกล ได้ 29,034 คะแนน / อันดับ 2 คือ ‘พายัพ ผ่องใส’ จากพรรคพลังประชารัฐ ได้ 21,726 คะแนน / อันดับ 3 ‘บัญญัติ เจตนจันทร์’ จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 14,668 คะแนน / อันดับ 4 ‘ชัยณรงค์ สันทัสนะโชค’ จากพรรคเพื่อไทย ได้ 11,647 คะแนน และ อันดับ 5 ‘พลช กฤษณะราช’ จากพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ 3,772 คะแนน
จากผลการเลือกตั้งใน 5 อันดับแรก จะเห็นว่าพรรคก้าวไกลและพรรคพลังประชารัฐ มีคะแนนห่างกันแค่ 7308 คะแนน และพรรคประชาปัตย์ มีคะแนนห่างจากพรรคพลังประชารัฐ 7058 คะแนน จึงทำให้น่าสนใจว่าในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ พรรคก้าวไกลจะรักษาแชมป์ไว้ได้หรือไม่ หรือหากพรรคพลังประชารัฐ ยอมเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ ลงชิงชัยเพียงพรรคเดียว คะแนนเสียงในขั้วรัฐบาลเดิมจะเทมาให้พรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป
