แม้กระแสข่าว ‘คดีหมูเถื่อน’ จะค่อยๆ เงียบลงอย่างน่าประหลาด แต่สังคมยังคงต้องการทราบความคืบหน้า เพราะเรื่องนี้มูลค่าความเสียหายนั้นมหาศาล โยงใยทั้งเรื่องเศรษฐกิจและทุจริตคอร์รัปชัน
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ ช่วงวาระรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565
เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้ลุกขึ้นอภิปรายสอบถามถึงประเด็นความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา ‘หมูเถื่อน’ และ ‘ตีนไก่สวมสิทธิ์’ ที่ได้มีการออกหมายจับทั้ง 2 กรณี รวมถึงมีผู้ต้องหามามอบตัวหลายราย
ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการส่งข้อมูลมาให้ ป.ป.ง.ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และอายัติเงินอย่างจริงจังแล้วหรือไม่ เนื่องจากเรื่องเงียบหายไป ไม่มีความคืบหน้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้เกิดความเกรงกลัว เพียงแค่มามอบตัวแล้วจบไป ขณะเดียวกัน ยังพบว่ามีการนำหมูเถื่อนมาจำหน่ายอยู่ โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปตรวจสอบจับกุมอย่างจริงจัง จนกลายเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ ในช่วงใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีน ราคาหมูเริ่มตกต่ำ หมูเถื่อนทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบไปยังคุณภาพชีวิตของเกษตรกรฟาร์มหมู
ด้าน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ป.ป.ง. ชี้แจงว่า ผู้ต้องหาในคดีหมูเถื่อนทั้งหมด ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดี ป.ป.ง.ได้ตรวจสอบทรัพย์ทั้งหมดแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่การกระทำความผิดหมูเถื่อน 161 ตู้ ที่ดีเอสไอดำเนินคดี เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 2563-64 ทาง ป.ป.ง.ดำเนินการยึดทรัพย์ได้เพียงแค่ช่วงปี 2564 ถึงปัจจุบัน แต่ทรัพย์ที่มีมาก่อนหน้านี้ หรือก่อนเหตุจะเกิด ไม่สามารถไปยึดได้ เนื่องจากต้องมีหลักฐานข้อมูลเพียงพอที่จะนำไปส่งศาลฯ
ขณะนี้ ป.ป.ง. วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินร่วมกับดีเอสไอ พบว่ามีอีก 2,388 ตู้ ที่มีการนำเข้าหมูเถื่อนมาแล้ว แล้วขายของไปหมดแล้ว เหลือแต่ใบตราส่งสินค้าทางทะเล หรือใบ BL ที่เป็นกระดาษ ซึ่งเราจะร่วมกับดีเอสไอ ดำเนินคดีในส่วนนี้ ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน คดีนี้น่าจะมีข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อสาธารณะ ว่ารัฐได้ดำเนินการเข้มงวดกับผู้กระทำความผิดเพียงใด ก็ต้องขอเวลาให้ดีเอสไอ ดำเนินการหน่อย เนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูลทางเอกสาร อาจต้องใช้เวลาบ้าง
พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ป.ป.ง.