‘นันทนา นันทวโรภาส’ สมาชิกวุฒิสภา(สว.) กลุ่มพันธุ์ใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคการเมืองเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราว่า ทางกลุ่มเรามีความคิดเห็นร่วมกันตั้งแต่ต้นแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้มีปัญหา คือรั่วทุกจุด เดิมเราต้องการให้มีการแก้ไขทั้งฉบับ แต่ดูจากกระบวนการแล้วน่าจะเป็นไปได้ช้ามาก อาจจะทำไม่ทัน 3 ปีที่เหลือของรัฐบาลนี้ ดังนั้น หากมีการแก้ไขรายมาตรา เพื่อลดจุดบกพร่องและแก้ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองได้ ก็คิดว่าเป็นประโยชน์ และน่าสนับสนุน ซึ่งในรายละเอียดต่างๆ คงต้องดูกันอีกครั้งหนึ่งว่าแต่ละมาตราที่เสนอไปมีความสมเหตุสมผลในการปรับแก้อย่างไร
ส่วนข้อครหาที่มองว่าการเสนอแก้ไขเรื่องจริยธรรมของนักการเมือง เป็นการแก้ไขเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองด้วยกันเอง นันทนา กล่าวว่า ปัญหาตรงนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการกำหนดให้จริยธรรมเข้าไปอยู่ในกฎหมาย แท้จริงแล้วเรื่องจริยธรรมคือ Code of conduct ซึ่งควรเป็นเรื่องที่กลุ่มวิชาชีพขององค์กรในสายอาชีพนั้นได้พิจารณาตกลงกันเอง ว่าพฤติกรรมของใครที่เหมาะสมหรือไม่สอดคล้อง ดังนั้นเมื่อนำเข้ามาเป็นกฎหมาย จึงไม่ได้มีข้อกำหนดชัดเจนว่าเรื่องไหนทำได้ หรือไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องอาศัยการตีความโดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นว่าจริยธรรมนี้ขึ้นอยู่กับตุลาการจำนวน 9 คน ในการพิจารณา จึงควรมีข้อกำหนดชัดเจนที่คนสามารถปฏิบัติตามได้ แต่การใช้คำว่าจริยธรรมและอาศัยการตีความซึ่งมีความเป็นนามธรรมสูงมาก สุดท้ายการตีความนั้นขึ้นอยู่กับคนไม่กี่คน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน จึงเห็นว่าควรมีการปรับแก้เพื่อให้เกิดความชัดเจนในเรื่องนี้
"นี่ไม่ใช่เรื่องของประโยชน์ทับซ้อน และหากจะบรรจุเข้าไปในกฎหมาย ควรต้องกำหนดให้ชัดว่าพฤติกรรมไหนผิดหรือไม่ผิดจริยธรรม และไม่ควรต้องย้อนกลับไปเมื่อชาติที่แล้ว ว่าเขาเคยทำอะไรไว้เมื่อ 20 ปีก่อน ก็เอามา ทั้งที่ตอนนั้นเขายังไม่ได้ตัดสินใจจะเป็นนักการเมืองด้วยซ้ำไป แต่กลับถูกนำเรื่องนี้มาดำเนินคดีกับเขา"
— นันทนา กล่าว
เมื่อถามว่า เห็นด้วยกับร่างแก้ของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนหรือไม่ นันทนา กล่าวว่า เบื้องต้นเห็นว่ากระบวนการแก้รายมาตราถือเป็นทางออกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ แต่คงต้องขอการสนับสนุนจากวุฒิสภาซึ่งต้องใช้เสียงถึง 1 ใน 3 คือ 67 เสียง หากเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนได้โดยไม่ต้องหวาดระแวงตลอดเวลา ว่าจะมีผู้มาร้องเรียนเรื่องในอดีตเมื่อไร หรือไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำไปผิดตรงไหน
กรณีมีผู้ยื่นร้องให้เพิกถอนการเลือกสว. ทั้งหมด เนื่องจากกระบวนการเลือกมีความไม่สุจริตเที่ยงธรรม นันทนา กล่าวว่า กระบวนการเลือก สว. มีปัญหามาตั้งแต่ต้น ในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็มีเรื่องร้องเรียนกว่า 700-800 เรื่อง จึงควรให้เวลา กกต.ในการสะสางเรื่องนี้ และหากว่าล่าช้าจนเกินไป ถึงตอนนั้นจึงควรไปเร่งรัดว่าให้มีมาตรการและการตรวจสอบที่รวดเร็วกว่านี้ ควรจะตัดสินพิจารณา หรืออย่างน้อยที่สุดหาก กกต. ไม่แน่ใจ ก็ควรส่งให้ศาลพิจารณาเลย
"แต่การจะบอกว่า สว. ทั้งหมดที่เข้ามามีปัญหา และล้มกระดานเลย ก็คิดว่าไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่เข้ามาอย่างสุจริตโปร่งใส ตามกระบวนการที่ไม่ได้ผิดอะไร แต่กลับต้องถูกล้มกระดาน เพราะมีคนจำนวนหนึ่งที่เข้ามาอย่างไม่ถูกต้อง" นันทนา กล่าว
อย่างไรก็ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ ‘สว.กลุ่มสีน้ำเงิน’ ล็อคเก้าอี้ประธานทุกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ว่า วันนี้จะมีวาระเรื่องการตั้งกมธ.ประจำวุฒิสภา 21 คณะ และตอนนี้ได้มีการจัดสรร สว.เข้าไปดำรงตำแหน่งอยู่ในกมธชุดต่าง ๆ ทั้ง 21 ชุด ทั้งนี้ มี สว.บางชุดแสดงความจำนงเกินกว่าจำนวน 18 คน และสุดท้ายมีการเกลี่ยสว.เข้าไปในกมธ. โดยหลักการในการเกลี่ยนั้น อย่างแรกควรจะดูในกลุ่มอาชีพของสว.ที่เข้ามา
นันทนา กล่าวต่อว่า แต่ในความเป็นจริงใช้วิธีการโหวต คือให้ผู้ที่สมัครเข้ามาในกมธ.ทำการเลือกกันเองให้ได้เหลือ 18 คน จึงปรากฏได้ สว.ที่ผิดฝาผิดตัว ลงอยู่ในกมธ.ไม่ตรงกับกลุ่มที่เขาเข้ามาอยู่ในสว. เช่น บางท่านอยู่ในกลุ่มท่องเที่ยว เมื่อสมัครเข้าไปอยู่ใน กมธ.การท่องเที่ยวแล้วนั้น ก็ไม่ได้รับเลือกจากการโหวตและส่วนตัวก็เป็นผู้รับผลกระทบในการเกลี่ยในครั้งนี้ด้วย
“ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเกลี่ยตรงนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งดิฉันสื่อสารทางด้านการเมือง และทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองมาโดยตลอด ดิฉันถูกโหวตออกจาก กมธ.พัฒนาการเมือง ฯ ได้คนที่ขายหมูเข้ามาอยู่เข้ามาอยู่ในกมธ.พัฒนาการเมือง ฯ ผลจากการโหวตผู้ที่สมัครเข้ามา ก็ใช้เสียงข้างมากเช่นเดิม ขอฟ้องประชาชนว่าขบวนการที่จะคัดสรรผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งกมธ. ไม่ได้เป็นไปตามฐาน หรือโปรไฟล์กลุ่มของคนที่มาสมัครเป็น สว.แต่มาจาก กระบวนการที่ใช้เสียงข้างมากในการโหวต “
— นันทนา กล่าว
นันทนา กล่าวต่อว่า จึงได้คนที่เข้ามาเป็น กมธ.ไม่ตรงกับบทบาทภาระหน้าที่ ยังไม่ต้องพูดถึงประธานที่มีการล็อคตัวไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่สว.ในกลุ่มยังไม่ครบ แต่มีประธานครบทั้ง 21 กลุ่มเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม และกลุ่มคนที่จะเข้ามาเป็น สว.ก็ไม่ได้แสดงความรู้ ความสามารถให้ตรงกับบทบาทของ กมธ.
ด้าน ‘กัลยา ใหญ่ประสาน’ สว.กลุ่มเกษตรกร กล่าวว่า อยากเข้ากมธ.การเกษตรฯ มาก แต่เมื่อเข้าไปในห้องที่มีการคัดเลือก ก็เห็นว่ามันมีการเตรียมการไว้แล้วว่าจะให้ใครเข้าไปอยู่ใน กมธ.นี้ ซึ่ง สว.ที่เห็นสถานการณ์นี้ ได้มีการระบุว่าถ้าจะให้แฟร์ไม่ควรมีการโหวต เพราะรู้ว่าเป็นคนส่วนข้างน้อยยังไงก็แพ้ และอยากให้มีการจับฉลาก ซึ่งเขาก็ให้มีการโหวตว่าจะมีการจับฉลากหรือไม่ ผลปรากฏว่าส่วนข้างน้อย ยกมือกันก็แพ้ และเมื่อมีการโหวตเลือกกันเองก็ไม่ให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ หลายคนก็รู้จักแล้วเราจึงถูกคัดออก