




บรรยากาศความสนุกสนานของงานวันเด็กแห่งชาติ ที่ พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพฯ แห่งที่ 1 เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเป็นไปอย่างคึกคัก พบว่าหลายครอบครัวพาลูกหลาน มาร่วมทำกิจกรรมเป็นจำนวนมาก
หนึ่งในนั้นคือครอบครัวของน้องตะวัน เด็กชายชุดไอรอนแมน วัย 4 ขวบ ที่ขอให้พ่อและแม่ของเขาสวมชุดซูเปอร์ฮีโรมาร่วมทำกิจกรรมในวันนี้ด้วย
แม่ของน้องตะวัน เล่าว่าครั้งแรกที่ลูกชายขอให้แต่งชุดแบบนี้ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน คือตอนที่ลูกชายเธออายุได้ 2 ขวบ ซึ่งเธอและสามีก็ยอมใส่ชุดซูเปอร์ฮีโรตามที่ลูกชายขอมาโดยตลอด เพราะอยากสนับสนุนและร่วมทำกิจกรรมกับลูกอย่างเต็มที่
ทีมข่าว SPACEBAR ยังชวนแม่น้องตะวัน สะท้อนความเห็นเกี่ยวกับนโยบายทางการศึกษาเนื่องในวันเด็ก ว่าอยากให้ภาครัฐ สนับสนุนเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่ โดยแม่ของน้องตะวัน มองว่าเธออยากให้ภาครัฐ สนับสนุนให้มีโรงเรียนทางเลือกมากขึ้น เพราะโรงเรียนลักษณะนี้ มีรูปแบบการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น ไม่เน้นเรื่องการสอบวัดผล หรือสร้างบรรยากาศการแข่งขันกันตั้งแต่เด็ก แต่จะให้เด็กได้เรียนรู้จากนอกห้องเรียนมากขึ้น ส่งเสริมให้เด็กมีความกล้าคิด กล้าแสดงออก และเป็นตัวเอง ซึ่งน้องตะวัน ก็เรียนโรงเรียนทางเลือกเช่นกัน เพราะเธออยากให้ลูกเรียนอย่างมีความสุข และเหมาะสมกับวัย เรียนไปเล่นไปผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งผลที่ได้ คือ ทำให้น้องตะวัน มีความกระหายการเรียนรู้อย่างไม่ต้องให้ใครบังคับ
ส่วนเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนทางเลือก แม่น้องตะวัน บอกว่าไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนเธอตอนเด็ก เพราะด้วยความที่เธอเป็นเด็กต่างจังหวัด ในสังคมต่างจังหวัดจะมองว่าเด็กที่เรียนสายวิทย์เป็นเด็กเก่ง และเห็นตัวอย่างอาชีพ แค่ไม่กี่อาชีพ ต้องเรียนตามที่ครอบครัวอยากให้เป็น และมีข้อจำกัดหลายอย่าง จึงมองว่าถ้ามีลูก ก็อยากให้ลูกทำอาชีพไหนก็ได้ที่ทำแล้วมีความสุข และตั้งใจมีลูกตอนที่พร้อมทั้งเรื่องวัยวุฒิ และการเงิน ซึ่งแม้จะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็สามารถส่งเสียลูกได้ ที่สำคัญเธอและสามี ก็จะพยายามหาเวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูกในทุกวันหลังเลิกงาน
ขณะที่สถานการณ์การศึกษาไทย ก่อนหน้าปี 62 นักวิจัย สสส. เปิดเผยว่าเด็กไทยเรียนหนักที่สุดในโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้มีเด็กนักเรียนลาออกกลางคันปีละ 900,000 คนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อีกทั้งส่งผลให้เด็กนักเรียน 386,250 คนเลือกทำอาชีพผิดกฏหมายเพื่อหาค่าเล่าเรียน นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กไทยเรียนวันละ 8-10 คาบต่อวันและยังมีนักเรียนบางส่วนรู้สึกเบื่อจนไม่อยากเรียน และที่น่าเป็นห่วง คือ เด็กไทยร้อยละ 87 มีเวลาพูดคุยกับพ่อแม่เพียงวันละ 10 นาที
ไม่ใช่แค่ผลวิจัยนี้ ที่เป็นตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตทางการศึกษาไทย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นยังถูกสะท้อนผ่านตามหน้าข่าวต่างๆ ทั้งเรื่องภาวะการเรียนรู้ถดถอยของเด็ก และปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นบาดเเผลที่เกิดจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 รวมถึงข่าวเด็กฆ่าตัวตายจากการถูกกดดันเรื่องเรียนที่มีให้เห็นอยู่เป็นระยะ นี่จึงเป็นคำถามที่ชวนคิดว่า ‘เด็ก’ ที่หลายคนบอกว่าเป็นสิ่งมีค่า เป็นพลังที่จะสร้างอนาคตให้กับประเทศ พวกเขาถูกทำให้เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?
หนึ่งในนั้นคือครอบครัวของน้องตะวัน เด็กชายชุดไอรอนแมน วัย 4 ขวบ ที่ขอให้พ่อและแม่ของเขาสวมชุดซูเปอร์ฮีโรมาร่วมทำกิจกรรมในวันนี้ด้วย
แม่ของน้องตะวัน เล่าว่าครั้งแรกที่ลูกชายขอให้แต่งชุดแบบนี้ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน คือตอนที่ลูกชายเธออายุได้ 2 ขวบ ซึ่งเธอและสามีก็ยอมใส่ชุดซูเปอร์ฮีโรตามที่ลูกชายขอมาโดยตลอด เพราะอยากสนับสนุนและร่วมทำกิจกรรมกับลูกอย่างเต็มที่
ทีมข่าว SPACEBAR ยังชวนแม่น้องตะวัน สะท้อนความเห็นเกี่ยวกับนโยบายทางการศึกษาเนื่องในวันเด็ก ว่าอยากให้ภาครัฐ สนับสนุนเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่ โดยแม่ของน้องตะวัน มองว่าเธออยากให้ภาครัฐ สนับสนุนให้มีโรงเรียนทางเลือกมากขึ้น เพราะโรงเรียนลักษณะนี้ มีรูปแบบการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น ไม่เน้นเรื่องการสอบวัดผล หรือสร้างบรรยากาศการแข่งขันกันตั้งแต่เด็ก แต่จะให้เด็กได้เรียนรู้จากนอกห้องเรียนมากขึ้น ส่งเสริมให้เด็กมีความกล้าคิด กล้าแสดงออก และเป็นตัวเอง ซึ่งน้องตะวัน ก็เรียนโรงเรียนทางเลือกเช่นกัน เพราะเธออยากให้ลูกเรียนอย่างมีความสุข และเหมาะสมกับวัย เรียนไปเล่นไปผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งผลที่ได้ คือ ทำให้น้องตะวัน มีความกระหายการเรียนรู้อย่างไม่ต้องให้ใครบังคับ
ส่วนเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนทางเลือก แม่น้องตะวัน บอกว่าไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนเธอตอนเด็ก เพราะด้วยความที่เธอเป็นเด็กต่างจังหวัด ในสังคมต่างจังหวัดจะมองว่าเด็กที่เรียนสายวิทย์เป็นเด็กเก่ง และเห็นตัวอย่างอาชีพ แค่ไม่กี่อาชีพ ต้องเรียนตามที่ครอบครัวอยากให้เป็น และมีข้อจำกัดหลายอย่าง จึงมองว่าถ้ามีลูก ก็อยากให้ลูกทำอาชีพไหนก็ได้ที่ทำแล้วมีความสุข และตั้งใจมีลูกตอนที่พร้อมทั้งเรื่องวัยวุฒิ และการเงิน ซึ่งแม้จะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็สามารถส่งเสียลูกได้ ที่สำคัญเธอและสามี ก็จะพยายามหาเวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูกในทุกวันหลังเลิกงาน
ขณะที่สถานการณ์การศึกษาไทย ก่อนหน้าปี 62 นักวิจัย สสส. เปิดเผยว่าเด็กไทยเรียนหนักที่สุดในโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้มีเด็กนักเรียนลาออกกลางคันปีละ 900,000 คนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อีกทั้งส่งผลให้เด็กนักเรียน 386,250 คนเลือกทำอาชีพผิดกฏหมายเพื่อหาค่าเล่าเรียน นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กไทยเรียนวันละ 8-10 คาบต่อวันและยังมีนักเรียนบางส่วนรู้สึกเบื่อจนไม่อยากเรียน และที่น่าเป็นห่วง คือ เด็กไทยร้อยละ 87 มีเวลาพูดคุยกับพ่อแม่เพียงวันละ 10 นาที
ไม่ใช่แค่ผลวิจัยนี้ ที่เป็นตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตทางการศึกษาไทย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นยังถูกสะท้อนผ่านตามหน้าข่าวต่างๆ ทั้งเรื่องภาวะการเรียนรู้ถดถอยของเด็ก และปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นบาดเเผลที่เกิดจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 รวมถึงข่าวเด็กฆ่าตัวตายจากการถูกกดดันเรื่องเรียนที่มีให้เห็นอยู่เป็นระยะ นี่จึงเป็นคำถามที่ชวนคิดว่า ‘เด็ก’ ที่หลายคนบอกว่าเป็นสิ่งมีค่า เป็นพลังที่จะสร้างอนาคตให้กับประเทศ พวกเขาถูกทำให้เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?