การประชุมรัฐสภา ที่มี มงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยช่วงท้ายของการพิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า หากมีความมุ่งมั่นตั้งใจแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประชาชน ไม่ต้องลงมติส่งศาลรัฐธรรมนูญ และให้เดินหน้าแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ให้ทันก่อนปิดสมัยประชุม และตั้งกมธ.วิสามัญยกร่างแก้ไขทันที หากในอนาคต มีผู้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และมีคำวินิจฉัยว่า ต้องทำประชามติ 3 ครั้งแค่รีเซ็ตกระบวนการทำประชามติใหม่ ซึ่งไม่มีอะไรจะเสีย ยกเว้นต้นทุนของตัวเองที่จะเสียไป ตามที่มีคนอภิปรายว่า จะมีคดีเข้าตัวเองหากมีการฟ้องร้องสมาชิกรัฐสภาในภายหลัง
ณัฐพงษ์ อภิปรายด้วยว่า มีการอภิปรายว่า หากยื่นศาลรัฐธรรมนูญคาดว่า จะใช้เวลาพิจารณา 1 เดือน แต่หากพิจารณาแล้วพบว่า การพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ จะไม่ทันสมัยประชุมนี้ และต้องรอไปอีก 4 เดือน เท่ากับปิดโอกาสแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับให้ทันต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า ดังนั้น ขอตั้งคำถามว่า ที่ต้องทำ เพราะมีเหตุผลการเมืองหรือใช้ข้อกฎหมายบังหน้า
ณัฐพงษ์ อภิปรายด้วยว่าในญัตติที่ระบุว่ามีข้อขัดแย้ง มองว่า ปัญหาข้อกฎหมายจะเกิดกรณีเดียว คือ ต้องการลงมติแล้วอย่างเดียวเท่านั้น ข้อขัดแย้งในการอภิปรายของสภาฯ วอร์คเอาท์ หรือไม่แสดงตนทำให้สภาล่ม ไม่เป็นอุปสรรคของการทำหน้าที่ปกติของสภาฯ และรัฐสภา
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายด้วยว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นโครงสร้างใหม่ให้ประเทศเพื่อสร้างการเติบโตใหม่ให้ประเทศ หากสมาชิกรัฐสภามีเหตุผลทางการเมืองต้องถอยกลับไปคุยกันให้จบและ แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แสดงภาวะผู้นำควบคุมเสียงรัฐบาลให้ได้ จะสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
