‘สว.แดง’ แม่ค้าขายหมู ควักแบงค์โชว์หนุนรัฐแจก ‘เงินสด’ ไม่เอา ‘ดิจิทัล’

6 ส.ค. 2567 - 07:18

  • เปิดโหมดซึ้ง ? ‘สว.แดง’ แม่ค้าขายหมู ควักแบงค์โชว์หนุนรัฐบาลแจกสด ไม่เอา ‘ดิจิทัล’ ลั่นต้องมองปัญหาฐานราก ‘ค่าซ่อมบ้าน-ซื้อวัวควายเลี้ยง’

  • ส่วน ‘ประธานวุฒิสภา’ นั่งซับน้ำตา พร้อมอัดคลิปอภิปรายยาว

  • ด้าน ‘จุลพันธ์’ ย้ำ ‘หาบเร่-ก๋วยเตี๋ยว’ ขึ้นทะเบียนร้านค้าได้ ยันระบบแอปพลิเคชั่นปลอดภัย

New_Senator_Discusses_Digital_Wallet_Policy_SPACEBAR_Hero_3d496dc830.jpg

ในการประชุมวุฒิสภา ที่มี ‘พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์’ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ.... วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการเติมเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ต มีสว.ลุกขึ้นอภิปรายทั้งสนับสนุนและท้วงติง 

โดยเมื่อเวลา12.40น. ทั้งนี้ในช่วงหนึ่งของการอภิปรายของ ‘แดง กองมา’ สว.กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่น นอกจากกลุ่ม 9 ลุกขึ้นอภิปรายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า มาจากจ.อำนาจเจริญ เป็นแม่ค้าขายหมู ชีวิตพบแต่กับพ่อค้าแม่ค้าชาวชนบทซึ่งถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มคนรากหญ้า ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ใช่รากหญ้า แต่เป็นรากไม้รากหนึ่งที่ค้ำให้ต้นไม้ ที่ชื่อว่าประเทศไทยให้สง่างาม กรณีที่รัฐบาลแจกเงินให้ประชาชน คนละหมื่นบาท ยินดีและดีใจเป็นอย่างมากเพื่อใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็น แต่พอเป็นเงินดิจิทัล ทางกลุ่มกังวลว่าจะใช้จ่ายอย่างไร และคิดหนัก บางครอบครัวมีสมาชิก 4-5 คน รวมเป็นเงิน 40,000 - 50,000 น. อยากเอาไปซ่อมบ้าน หรือซื้อวัว ซื้อควายเลี้ยงแต่ทำไม่ได้

“ทำไมรัฐบาลไม่แจกเป็นเงินแบบนี้ เพื่อใช้ได้ง่ายสำหรับพวกเรา ดิฉันเห็นด้วยกับการแจกเงินให้คนไทย แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่จะแจกเป็นเงินดิจิทัล ไหนๆ รัฐบาลจะแจกเงินให้คนไทยแล้ว ทำไมไม่ทำให้ประชาชนมีความสุข เหมือนกับเพิ่มทุกข์ให้ประชาชน”

แดง อภิปราย

ทั้งนี้ในช่วงหนึ่งของการอภิปรายแดง ได้ชูธนบัตร ใบละ 1,000 บาทจำนวน 1 ใบ ในมือขวา และ 100 บาท จำนวน 2 ใบ ในมือซ้าย รวมเป็นเงิน 1,200 บาท ประกอบการอภิปรายด้วย 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่มีการอภิปราย ‘มงคล สุระสัจจะ’ ประธานวุฒิสภา ที่ขณะนั้นนั่งอยู่บนบังลังก์ แต่ยังไม่ได้สลับมาทำหน้าที่ประธานการประชุม ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หยิบกระดาษขึ้นมาซับน้ำตาตลอดเวลา พร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปที่แดงอภิปรายด้วย  

ด้าน ่ ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ รมช.คลัง ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า กรณีการก่อหนี้และความคุ้มค่าต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ยอมรับว่าเมื่อกระบวนการเดินหน้าต้องกู้เงินเพิ่มเติม ทั้งนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจนี้มีความจำเป็น ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งกระบวนการใช้นั้นคือการใช้คูปอง เพื่อไปแลกเปลี่ยนสินค้า ส่วนการขึ้นเงินสดจะเป็นกระบวนการใช้ในรอบสองเป็นต้นไป ทั้งนี้การขึ้นเงินหรือไม่ เงินไม่หายไปไหน 

จุลพันธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทะเบียนร้านค้าที่เข้าร่วมนั้น ร้านค้าที่ไม่ได้ลงทะเบียนในระบบภาษี เช่น หาบเร่ ก๊วยเตี๋ยว สามารถเข้าร่วมโครงการได้ แต่จะไม่สามารถขึ้นเงินสดได้ ต้องนำไปซื้อปัจจัยการผลิต ขณะเดียวกันในรายละเอียดที่พิจารณาถึงร้านสะดวกซื้อนั้น ได้พิจารณาไม่ให้กระจุกตัวที่รายใหญ่ และประชาชนมีความง่ายต่อการใช้ ทั้งนี้ไม่สามารถกำหนดจนกระทบต่อการหมุนเวียนได้ ทั้งนี้การใช้จ่ายรอบสองนั้น ที่เป็น ร้านค้าต่อร้านค้า สามารถใช้จ่าายได้โดยไม่กำหนดพื้นที่หรือจำนวนได้

“สำหรับร้านสะดวกซื้อนั้นคิดนานเพราะไม่สามารถตัดสิทธิประชาชนและร้านค้าได้  สำหรับกรณีการลงทะเบียน ที่พบว่าล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนถึง 25 ล้านคนไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จ แต่อยู่ที่กลไกกระตุ้นเศรฐกิจ เรียนรู้ สร้างโครงสร้างพื้นฐานในเศรฐกิจดิจิทัล  ทั้งนี้จำนวนที่ลงทะเบียนไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้สิทธิ เนื่องจากต้องตรวจสอบฐานข้อมูล ขณะที่ร้านค้าที่ลงทะเบียน เบื้องต้น ร้านธงฟ้าที่มี 2แสนร้านค้า ลงทะเบียนแล้ว 2หมื่นร้าน นอกจากนั้นจะให้หน่วยงานรัฐ เช่น กรมการปกครอง ขึ้นทะเบียนร้านค้าด้วย”

จุลพันธ์ ชี้แจง

รมช.คลัง กล่าวด้วยว่า สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน วิธีการใช้ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง และมีการบันทึกภาพการใช้จ่ายทุกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต ซึ่งการการลงทะเบียนผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนจะเร่ิม 16 ก.ย. -15 ต.ค.  ขณะที่ประชาชนกลุ่มไม่สามารถเดินทางได้ เช่น ผู้ป่วยติดเตียง จะมีกลไกที่แตกต่างกันซึ่งจะมีการแถลงเป็นระยะ ส่วนที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งและหวังผลการเมือง ตนยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งเพราะผ่านมาเป็นปี แต่ที่ต้องทำเพราะเป็นสัญญาประชาคม ที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อที่ประชุมรัฐสภา เป็นนโยบายเร่งด่วนต้องเดินหน้า ในรัฐบาลไม่มีการพูดถึงพรรคการเมืองใดเพราะเป็นการหารือของพรรคร่วมรัฐบาล และที่ตั้งข้อสังเกตว่าไม่ตรงปกนั้น ตนยอมรับว่าโครงการมีการเปลี่ยนแปลงจริง จากข้อท้วงติงจากหน่วยงานรัฐ และจากความห่วงของสังคม เราเป็นรัฐบาลของประชาชนจำเป็นต้องรับฟัง 

“วันนี้มีข้อเสนอแนะและท้วงติงรับไปพิจารณาเพื่อให้โครงการเดินหน้าเกิดประโยชน์กับประชาชน แอปพลิเคชั่นไม่ได้เก็บข้อมูลและไม่เห็น เมื่อประชาชนกดปุ่ม จะส่งคำถามไปยังหน่วยงานรัฐ กรมสรรพากร เช่น รายได้เกินหรือไม่ เพื่อให้หน่วยงานตอบกลับเป็นคำว่าใช่หรือไม่เท่านั้น ดังนั้นมีความปลอดภัย ส่วนแสกนใบหน้าไม่ใช่การเก็บข้อมูล แต่เป็นการยืนยัน ดังนั้นกลไกเดินหน้าสมบูรณ์ ปลอดภัย ไม่มีคำสั่งไปยังธนาคารให้โอนเงินออกมาได้” จุลพันธ์ กล่าว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์