ต้องตรวจสอบเข้ม! ใช้เงินซื้อเสียงโหวต สว.

24 เมษายน 2567 - 08:48

parinya-24apr2024-SPACEBAR-Hero.jpg
  • ‘อ.ปริญญา’ แนะ กกต. เข้มตรวจสอบ ใช้เงินซื้อเสียงโหวต สว.

  • มอง ‘คณะก้าวหน้า’ รณรงค์สมัครโหวต สว. ทำได้ เชื่อให้มีผู้สมัครอิสระ สู้กับผู้สมัครจัดตั้ง ประเมินการเลือกสว.สะดุดได้ ให้จับตาอำนาจสว.ชุดรักษาการ

  • แนะรัฐบาลฝ่ายค้านคุยกันก่อน ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ชี้ หากยังขัดแย้งกันอยู่ รัฐธรรมนูญใหม่ที่ประชาชนรอ อาจไม่เกิด หวัง เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ต่อการได้มาซึ่ง สว. ด้วยการเลือกกันเอง 3 ระดับ โดยไทม์ไลน์กำหนดให้เปิดรับสมัครวันที่ 13 พ.ค. ว่า เชื่อว่าจะมีผู้สมัครจำนวนมาก ถึง 2แสนคนดังนั้นอาจจะมีปัญหาและข้อร้องเรียนเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม มองการรณรงค์ของคณะก้าวหน้าต่อการให้ประชาชนสมัครเข้าไปโหวต สว.ว่า เป็นเรื่องที่ทำได้ เพื่อต้องการผู้โหวตอิสระสู้กับผู้สมัครที่มีการจัดตั้งจากนักการเมืองบ้านใหญ่ในพื้นที่ ส่วนประเด็นการฮั้วกันที่จะเกิดขึ้นนั้น ด้วยระบบที่ให้เลือกกันเองตาม 20 สาขาวิชาชีพ และเลือกไขว้นั้น เชื่อว่า จะสามารถทำให้การฮั้วกันทำได้ยาก อีกทั้งการลงคะแนนให้กันถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ยกเว้นจะมีการซื้อเสียงหรือให้ผลประโยชน์ ซึ่งประเด็นดังกล่าวขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบให้ดี ในประเด็นการใช้เงินซื้อเสียง นอกจากนั้นแล้ว กกต.ควรพิจารณาทบทวนค่าสมัครจากเดิมที่กำหนดค่าสมัครที่ 2,500 บาท เหลือ 500 บาท เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการสมัครและสมัครได้มากขึ้น

เมื่อถามว่ามองประเด็นการฮั้วกันหรือการยื่นเรื่องให้พิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจะทำให้การเลือกของสว.สะดุดหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า อาจมีประเด็นเกิดขึ้นได้ ทั้งใน 2 กรณี แม้ตามกติกา กกต.มีอำนาจประกาศผลภายในระยะเวลาเท่าใด แต่เป็นกรณีที่ไม่มีปัญหา แต่หากมีปัญหาเกิดขึ้น เช่น การร้องเรียนตั้งแต่ระดับอำเภอที่มีผู้สมัครจำนวนมาก จะดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้ ส่วนตัวขอให้จับตาให้ดีหากการประกาศผลเลือกสว.ใหม่ต้องยืดเวลาออกไป ที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของสว. ชุดที่มาจากคสช.​ที่ต้องทำหน้าที่รักษาการไปจนกว่ามีสว.ชุดใหม่ เกี่ยวกับอำนาจเลือกนายกฯในรัฐสภา แม้บทเฉพาะกาล มาตรา 272 จะกำหนดให้มีอำนาจ 5 ปีนับแต่มีสภา แต่อาจมีคนที่ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ หากมีปัจจัยที่ต้องการทำให้เปลี่ยนตัวนายกฯ 

ปริญญา ยังกล่าวถึงการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่เต็มไปด้วยปัญหามากมาย เพราะร่างขึ้นมาโดยกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผู้ร่างก็มาจากรัฐประหารและวางกลไกในการสืบทอดอำนาจไว้มาก จึงต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง แม้ว่าสว.ที่มีส่วนในการสืบทอดอำนาจจะหมดวาระในวันที่ 10 พฤษภาคม แต่กลไกต่างๆ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่ยังต้องแก้อยู่มาก ซึ่งที่ผ่านมาการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นไปได้ยาก ได้วางกลไกไว้ว่า ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญจะต้องใช้เสียง สว.มากถึง 1 ใน 3 ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และเมื่อสว.ชุดนี้จะหมดวาระโอกาสที่จะได้สว.ชุดใหม่ มาเห็นชอบด้วย หนทางก็จะเปิด

ทั้งนี้ ข้อที่เป็นอุปสรรคใหญ่คือกติกาของศาลรัฐธรรมนูญ ข้อถกเถียงที่ว่าจะต้องทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้ง เป็นเรื่องที่ศาลไม่รับวินิจฉัย ซึ่งรัฐบาลก็ได้แถลงออกมาแล้วว่า จะทำประชามติ 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 คือเริ่มเสนอร่าง ครั้งที่ 2 คือร่างเสร็จ และครั้งที่ 3 คือก่อนประกาศใช้ ในความเห็นส่วนตัว คือครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ไม่จำเป็นต้องถาม เพราะการถามครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 เป็นเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อรัฐบาลมีแนวทางแบบนี้ก็ต้องติดตามดูต่อไปว่า ครั้งที่ 1 จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ 

ส่วนเรื่องที่คงจะเป็นข้อเห็นต่างกันมากระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลคือเรื่องของ คำถามที่จะถาม เพราะในคำถามมีคำถามที่ว่า “จะเห็นชอบด้วยหรือไม่ กับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2” ซึ่งในส่วนนี้มีความไม่ลงรอยกันอยู่ และส่วนตัวเห็นว่า ตามกติการัฐธรรมนูญมาตรา 255 ระบุว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะแก้ไขไม่ได้ ซึ่งในส่วนนี้ มีขอบเขตอยู่แล้วและที่ผ่านมาการร่างใหม่ของรัฐธรรมนูญเช่น ปี 2540 ก็อยู่ภายใต้หลักการนี้อยู่แล้ว

ปริญญา กล่าวว่า เรื่องนี้ ส่วนตัวมองว่า หากรัฐบาลจะเดินหน้าได้ควรหาหนทางที่จะพูดคุยกับฝ่ายค้าน ให้พอจะไปกันได้ เพราะจะไม่ได้เริ่มต้น ตั้งแต่ครั้งแรกด้วยซ้ำหากมีความเห็นต่างกันอยู่

“ร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งตอนที่ทำประชามติปี 59 ยังมีการแยกเป็น 2 คำถาม คือ 1.เห็นชอบหรือไม่ที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะประกาศใช้ และ 2. เห็นชอบด้วยหรือไม่ ที่ให้สว.มาเลือกนายกในช่วง 5 ปีแรก ความจริงหากจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งก็อาจจะแยกเป็น 2 คำถามได้หรือไม่ แต่ถ้าเป็นคำถามเดียว ก็เป็นเรื่องที่ควรต้องคุยกัน ดังนั้น คำถามจะเป็นอย่างไร ผมขอเสนอว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเคยเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน เป็นฝ่ายประชาธิปไตย  และสัญญากับประชาชน ไว้ด้วยกันมาว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 จะมาเปลี่ยนให้เป็นประชาธิปไตย หากเดินหน้าต่อไป แล้วยังมีความเห็นต่างกันอยู่ เกรงว่าประชามติจะไม่ผ่าน และสุดท้ายการแก้รัฐธรรมนูญก็จะไม่สำเร็จ ดังนั้น หลักคือควรต้องคุยกันทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน และเรื่องนี้ไม่ควรจะเป็นเรื่องของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่ควรเป็นเรื่องที่รัฐบาลและฝ่ายค้านร่วมมือกัน นี่คือสิ่งที่ประชาชนคาดหวังอยากจะเห็น ในฐานะนักวิชาการ ประชาชนอยากจะเห็น 2 พรรคนี้ คุยกันไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ขณะนี้ดูเหมือนว่า จะเดินหน้าไปข้างเดียว เกรงว่าจะไม่สำเร็จ” ปริญญากล่าว

ปริญญา กล่าวว่า สิ่งที่เราแตะไม่ได้ คือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงรูปแบบราชอาณาจักรที่เป็นรัฐเดียว ซึ่งนี่มันต้องห้ามอยู่แล้วในความเห็นส่วนตัว ในหมวดทั่วไปมาตรา 4 ที่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ และมาตรา 5 ที่กฎหมายจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ ความหมายคือต้องคุยกันด้วยเหตุและผล ฉะนั้น จะเป็นคำถามแบบไหนถ้ารัฐบาลกับฝ่ายค้านคุยกันได้ จะเป็นประโยชน์ที่สุด

ส่วนจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงประชามติต้องเกินกึ่งหนึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ปริญญา กล่าวว่า การใช้สิทธิ์เลือกตั้งของประชาชนไทย ล่าสุด 74% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งส่วนตัวมองว่า โอกาสถึงกึ่งหนึ่งมีอยู่แล้ว ถ้าทุกคนมีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องร่างกันใหม่ แต่ถ้าหากรัฐบาลกับฝ่ายค้านยังคงเห็นต่างกัน 50% อาจจะถึงยาก

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่า การออกแบบเรื่องของประชามติ คือต้องได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของประชาชนที่มาออกเสียง ส่วนขั้นต่ำจะเป็นเท่าไหร่ ส่วนตัวคิดว่า เป็นเรื่องที่สามารถหารือกันได้ เรื่องนี้ก็คิดว่าทางรัฐบาลและฝ่ายค้านก็ต้องหารือกันด้วย แต่ถ้าหากเงื่อนไขค่อนข้างจะสูง ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ ไม่ใช่ปัญหาที่ตัวคำถามแต่ปัญหาคือความเห็นต่างระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้าน และตัวร่างแก้ไขจะไปไม่ถึงสภาฯถ้าหากรัฐบาลกับฝ่ายค้านยังคงเห็นต่างกันอยู่

“คำถามคือเขาจะคุยกันได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ประชาชนคาดหวังอยากจะเห็น และหวังว่าจะเดินหน้าต่อไปได้ ประชามติจะ 2-3 รอบ ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราคาดหวังจะเห็นรัฐธรรมนูญถ้าจะมีการร่างใหม่ ก็ควรจะเป็นครั้งสุดท้ายเสียที รัฐธรรมนูญที่จะเป็นครั้งสุดท้ายได้จะต้องเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ดังนั้นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จคือรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต้องมาคุยกันและหาทางออก ร่วมกัน แต่ถ้ายังคงเดินหน้าอย่างนี้ต่อไปอยู่คงจะสำเร็จยาก” ปริญญากล่าว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์