‘ปานปรีย์’ ย้ำไทยเป็นกลาง ยันเครื่องบินเมียนมาไร้ขน ‘เงิน-อาวุธ-ทหาร’เข้าไทย

9 เม.ย. 2567 - 05:20

  • ‘ปานปรีย์’ ปัดชักศึกเข้าบ้าน ปมเครื่องบินเมียนมาลงจอดแม่สอด แจงแค่เอาเอกสารลับทางราชการเข้ามา ยันไร้ขน ‘เงิน-อาวุธ-ทหาร’

  • รับ ‘นายกฯ’ เป็นห่วงหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น ชี้ไทยสามารถรองรับผู้อพยพได้ 100,000 คน หากเกินกว่านี้ต้องประสานประเทศอื่นช่วย ย้ำไทยเป็นกลาง หวังเกิดสันติสุข

parnpree–situation-myanmar-immigrant-SPACEBAR-Hero.jpg

วันนี้ (9 เม.ย.) ที่ทำเนียบรัฐมนตรี หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ‘ปานปรีย์ พหิทธานุกร’ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามสื่อเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศเมียนมา และกรณีเครื่องบินเมียนมาขอลงจอดที่สนามบินแม่สอด จ.ตาก 

‘ปานปรีย์’ ยอมรับว่าสถานการณ์สู้รบในเมียนมาส่งผลกระทบต่อประเทศไทย และนายกรัฐมนตรีมีคววามเป็นห่วงหากสถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น แต่ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมรองรับไว้แล้ว และสามารถรองรับผู้อพยพได้ประมาณ 100,000 คน แต่หากมีผู้อพยพมากกว่านี้ กระทรวงการต่างประเทศจะประสานงานกับต่างประเทศให้เข้ามาช่วยเหลือด้วย และตอนนี้ได้รับรายงานว่ามีคนหนีภัยสงครามเข้ามาในไทยบ้างประปราย

ส่วนประเด็นที่เครื่องบินเมียนมาเข้ามาจอดที่สนามบินแม่สอดเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ขออนุญาตจากรัฐบาลไทยหรือไม่ ‘ปานปรีย์’ อธิบายว่าปกติจะมีการขออนุญาตเข้ามาจอดเป็นประจำ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องบินพาณิชย์ และครั้งนี้เป็นขออนุญาติลงจอดจากทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ไม่ใช่เครื่องบินทหาร  โดยทูตเมียนมาแจ้งว่าแจ้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจมีประชาชนเมียนมาที่ได้รับผลกระทบ จึงมีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากประเทศไทยในเรื่องของมนุษยธรรม ซึ่งเราได้ตอบรับ

ครั้งแรกมีการขอมา 3ครั้ง เพราะทราบว่าจะมีชาวเมียนมาข้ามชายแดนมาจำนวนมาก แต่สุดท้ายปรากฏว่าไม่มี เพราะเข้าใจเองว่ามีการเจรจาระหว่างกลุ่มที่ต่อสู้กันในพื้นที่ อาจตกลงกันได้เลยทำให้ข้าราชการที่ควรจะต้องข้ามมาเมียนมาที่ควรจะต้องข้ามมาก็ไม่ได้เข้ามา

‘ปานปรีย์’ ย้ำว่าการขอความร่วมมือครั้งนี้ เป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอน หลังจากมีการขอมาทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มีประชุมกันเพื่อหารือว่าเกิดอะไรขึ้น และดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร โดยเรื่องนี้นายกฯ รับทราบมาโดยตลอด 

ฉะนั้นการตัดสินใจที่จะให้เครื่องบินบินเข้ามาหรือไม่ รัฐบาลรับทราบมาโดยตลอด และได้ตัดสินใจสอดคล้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเราได้ประสานกองทัพผ่านสมช. 

ส่วนข้อสงสัยว่าเครื่องบินที่ลงจอดมีการขนอะไรเข้ามาด้วยหรือไม่ ‘ปานปรีย์’ ตอบว่า เป็นการขนเอกสารทางราชการ ซึ่งเดิมเราคาดว่ามีประชาชนชาวเมียนมาเดินทางเข้ามาด้วย โดยเฉพาะข้าราชการแต่เมื่อเขาสามารถเจรจากันได้ คนที่จะเดินทางเข้ามาก็ไม่ได้เข้ามา เลยเหลือแต่เอกสารทางราชการ ซึ่งปกติทางการทูตไม่ว่าประเทศใดก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบว่าเป็นเอกสารประเภทใด เนื่องจากเป็นเอกสารลับทางราชการของเมียนมา ยืนยันไม่มีอาวุธ ไม่มีกำลังพล ไม่มีทหาร ไม่มีการขนเงินเข้ามา และชาวเมียนมาที่เดิมจะเดินทางเข้ามา ก็ขอยกเลิกไป เลยเหลือแต่เพียงเอกสารทางราชการ

นอกจากนี้ ‘ปานปรีย์’ ยังบอกว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วงเรื่องการค้าชายแดน เวลานี้มีการเตรียมพร้อมหากชายแดนปิดขึ้นมาจะทำอย่างไรต่อไป และแม้วันนี้ยังไม่ปิด แต่ปริมาณการค้าอาจลดลง แลในอนาคตหากเข้าด่านชายแดนไม่ได้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการค้าขายไปยังจังหวัดอื่นแทน เช่น จ.ระนอง

ส่วนข้อกังวลว่าการที่อนุญาตให้เครื่องบินเมียนมาลงจอด อาจเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ ‘ปานปรีย์’ ย้ำว่า ไม่มี เพราะไม่ใช่เป็นเครื่องบินทางทหาร เป็นเครื่องบินพลเรือน ปกติก็บินเข้าบินออกประเทศไทยอยู่แล้ว มองเรื่องนี้ไม่เป็นประเด็นเลยในเรื่องชักศึกเข้าบ้าน ย้ำกองทัพมีความพร้อมรับมือต่อสถานการณ์ที่อาจมีการรุกล้ำน่านฟ้าไทย 

เมื่อถามว่าการที่ ‘นายกฯ’ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการเจรจา​​  ตรงนี้จะเป็นการเจราจากับรัฐบาลเมียนมาหรือกลุ่มชาติพันธุ์ใช่หรือไม่ ‘ปานปรีย์’ ระบุ การเจรจาต้องเจรจาให้ครบทุกกลุ่ม เพราะว่าเวลานี้มีหลายกลุ่ม ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เราก็ต้องทำ

‘ปานปรีย์’ ย้ำว่า สำหรับจุดยืนของประเทศต่อสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมานั้น ประเทศไทยเป็นกลางแน่นอน และเรามีความประสงค์ที่จะให้เกิดสันติสุขในประเทศเมียนมา ฉะนั้นเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดความสงบเรีบยร้อยในเมียนมา เพราะประเทศไทยได้รับผลกระทบมาก 

ส่วนการวางกำลังทหารตามแนวชายแดน ‘ปานปรีย์’ ระบุ กองทัพไทยเป็นหน่วยหลักในการสนับสนุน และตอนนี้ ได้เพิ่มกำลังไปแล้ว อยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดและเข้มงวด

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์