




ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีพันธมิตร ชุมนุม หมายเลขดำ อ.4924/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องน สนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปีเศษ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับพวกรวม 21 คน ซึ่งเป็นอดีตแกนนำและแนวร่วม พธม. เป็นจำเลยที่ 1-21 ในความผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือ กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่ง อย่างใดทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำมีอาวุธ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกมั่วสุม, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 309, 310
กรณีช่วงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กลุ่ม พธม. เคลื่อนการชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาล ไปปิดล้อมรอบอาคารรัฐภา ไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประชุมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อเดือน ธ.ค. 2555 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 - 7 ต.ค. 2551 จำเลยและกลุ่ม พธม. จำนวนหลายพันคน ร่วมมั่วสุมภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตั้งเวทีปราศรัย และได้ยุยงปลุกปั่นให้กลุ่ม พธม. ทั้งประเทศไปรวมตัวปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้ ส.ส. , ส.ว. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าร่วมประชุมสภา โดยวันที่ 7 ต.ค. 2551 กลางวัน จำเลยกับพวกใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงเคลื่อนพร้อมนำลวดหนามชนิดหีบเพลง และแผงกั้นเหล็กยางรถยนต์ผ่านไปลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อขวางบริเวณรอบรัฐสภาทำให้ประชาชนไม่สามารถผ่านไปได้ และปราศรัยปลุกระดมให้ล้อมรัฐสภา เป็นเหตุเหตุให้ ส.ส.และ ส.ว. บางส่วนเดินทางเข้าไปประชุมสภาไม่ได้
จำเลยกับพวกยังร่วมกันข่มขืนใจ สุริยา ปันจอร์ อดีต ส.ว.สตูล , มณฑล ไกรวัตนุสรณ์ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร พรรคเพื่อไทย, ปัญญา ศรีปัญญา อดีต ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย และข้าราชการฝ่ายการเมืองหลายคน โดยไล่ให้กลับบ้านและขู่ให้กลัวว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และยังมีการโห่ร้อง ด่าทอ ใช้หนังสติ๊ก อาวุธปืนยิง มีดฟัน ใช้ปลายธงทำด้วยเหล็กปลายแหลมแทงเจ้าหน้าที่รับบาดเจ็บสาหัส 1 คน แถมยังมีการนำโซ่ไปล็อกกุญแจทางเข้า – ออกสภาฯ ทุกด้าน พร้อมประกาศขู่ว่าหากไม่ยุบสภาในเวลา 18.00 น. จะจับตัวประธานสภาและประธานวุฒิสภา รวมทั้งสมาชิกทั้งหมด ซึ่งสมาชิกรัฐสภาบางส่วนได้ปีนกำแพงหนีออกทางด้านพระที่นั่งวิมานเมฆ ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนถูกขังอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง
ต่อมาเวลากลางคืน จำเลยกับพวกยังได้ปราศรัย ยุยงให้กลุ่ม พธม. จำนวนหลายพันคน โดยมีอาวุธ มีด ปืน ไม้กระบอง ธง หนังสติ๊ก ฯลฯ เคลื่อนไปหน้าอาคารรัฐสภาและปิดล้อมทางเข้าออก และได้นำน้ำมันราดบนถนนหน้ารัฐสภาและขู่ว่าจะใช้กำลังประทุบร้าย ส.ส.และ ส.ว. รวมทั้งใช้รถกระบะ ทะเบียน วพ1968 กทม. ที่ขับขี่โดยนายปรีชา ตรีจรูญ ขับรถพุ่งไล่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งอัยการได้แยกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลไปแล้ว
พวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษพวกจำเลย
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือ แล้วมีข้อวินิจฉัยตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการชุมนุมของกลุ่ม พธม. เป็นไปโดยสงบและชอบธรรมหรือไม่ เห็นว่า การชุมนุมของกลุ่มฯเป็นการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่นำโดย สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต่อต้านการทุจริตต่อจากยุคของ ทักษิณ ชินวัตร และประกาศว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 239 และ มาตรา 309 เพื่อช่วยให้ทักษิณไม่ถูกยึดทรัพย์ 6.4 พันล้านบาท และไม่ต้องรับโทษจำคุก 2 ปี คดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ และมีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 42 แห่ง เป็นบริษัทมหาชน สร้างความเสียหายให้กับประเทศ จะเห็นได้ว่ามีนโยบายหลายๆ ข้อที่ทำให้คนจากหลายภาคส่วนไม่พอใจ จึงได้ออกมาโต้แย้งคัดค้าน
โดยการชุมนุมเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2551 จนถึงวันที่ถูกสลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค. 2551 โดยจำเลยที่ 1-2 , 4-21 ได้กล่าวเน้นย้ำให้ชุมนุมด้วยความสงบ ห้ามนำอาวุธเข้ามา และไม่มีการวางแผนทำผิดกฎหมาย เป็นการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ลักษณะจู่โจมโดยที่ผู้ชุมนุมไม่ทันตั้งตัวจนเกิดความวุ่นวาย จนผู้ชุมนุมวิ่งหลบหนี บางส่วนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา เป็นการปฏิบัติข้ามขั้นตอน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าได้ประสานขอรถน้ำจาก กทม. แต่ไม่ได้รับการร่วมมือส่งรถน้ำมาให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุม พธม. ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายราย บางรายถึงขั้นเสียชีวิต ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนไม่พอใจและหันมาตอบโต้ตำรวจโดยยิงหนังสติ๊ก ปลายธงแหลม กระบองและหนังสติ๊กใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นการกระทำของผู้ชุมนุมบางคน โดยไม่มีใครสั่งการ ถือว่าเป็นการกระทำส่วนตัวมิอาจนำมาถือเป็นเจตนาของทุกคนในกลุ่มผู้ชุมนุมได้
ขณะที่ฝ่ายโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า พวกจำเลยชุมนุมโดยไม่สงบ และไม่อาจชี้ได้ว่า จำเลยที่ 1-2 , 4-21 เป็นผู้สั่งการ แต่ความวุ่นวายเกิดมาจากการเริ่มยิงแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เห็นว่าเจ้าหน้าที่กระทำขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน มีการยิ่งแก๊สน้ำตาจำนวนมาก เกินความจำเป็น อีกทั้งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำวินิจฉัยว่าการะทำของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำละเมิดต่อกลุ่มผู้ชุมนุมตามสิทธิมนุษยชน ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
การกระทำของ จำเลยทั้งหมดจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215,216 309, 310 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง
สำหรับจำเลยทั้งหมดประกอบด้วย 1. สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. 2. พิภพ ธงไชย 3.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ (เสียชีวิต) 4.มาลีรัตน์ แก้วก่า 5.ประพันธ์ คูณมี 6.สมศักดิ์ โกศัยสุข 7.สุริยะใส กตะศิลา 8.อมร อมรรัตนานนท์ หรือ นายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี 9.สำราญ รอดเพชร 10.ศิริชัย ไม้งาม
11.สาวิทย์ แก้วหวาน 12.พิชิต ไชยมงคล 13.อำนาจ พละมี 14.กิตติชัย ใสสะอาด 15.ประยุทธ วีระกิตติ 16.สุชาติ ศรีสังข์ 17.สมบูรณ์ ทองบุราณ 18.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี 19.อัญชะลี ไพรีรัก 20.พิเชฐ พัฒนโชติ 21.วีระ สมความคิด