พรรคประชาชน จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ซึ่งมีกรรมการบริหารพรรค สส. และสมาชิกพรรคร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยมีวาระสำคัญหลายเรื่อง เช่น การดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปี 2567, รายงานงบการเงิน และการแก้ข้อบังคับพรรค โดยมี ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เป็นประธาน
ณัฐพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเลือกตั้งเทศบาล ว่า มีความมั่นใจในหลายสนาม โดยตนได้ลงพื้นที่ไปช่วยหาเสียงในหลายสนาม ก็พบว่า ผู้สมัครของพรรคมีความพร้อม ทั้งจากประสบการณ์ในอดีต และนโยบายที่ดี ในการเตรียมพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้ตอบโจทย์กับปัญหาในพื้นที่ ตนเชื่อว่า จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง จากสนามการเลือกตั้งเทศบาล
ส่วนเป้าหมายของการเลือกตั้งเทศบาล ณัฐพงษ์ ระบุว่า ไม่อยากบอกเป็นตัวเลข เนื่องจากทุกสนามที่พรรคประชาชนส่งผู้สมัคร มีโอกาสที่จะชนะ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ ซึ่งหน้าที่ของเราในตอนนี้ คือการสื่อสาร การรณรงค์อย่างแข็งขัน ส่วนคนที่จะตัดสินว่า พรรคจะได้นายกเทศบาลที่ใดบ้าง คือ ประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคประชาชนเตรียมจัดเวทีปราศรัยใหญ่เลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ในวันที่ 30 เม.ย.นี้ โดย ณัฐพงษ์ พร้อมกับผู้ช่วยหาเสียง คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ ชัยธวัช ตุลาธน คณะกรรมการคณะก้าวหน้า ที่หน้าหอพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นเชียงใหม่ เวลา 18.30 น. และในวันที่ 3 พ.ค.นี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง จะขึ้นปราศรัย จ.เชียงใหม่ ด้วย
ภายหลังการประชุมใหญ่ ณัฐพงษ์ พร้อมด้วย ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค และ ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค แถลงข่าวมติที่ประชุม
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องที่เราสื่อสารมาตลอด 3 วันนี้ต่อองคาพยพต่างๆ ของพรรค เน้นย้ำว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากเรามองโจทย์ของประเทศ คงไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องการชนะการเลือกตั้งอย่างเดียว แต่เราต้องการสร้างรัฐบาลที่ดีที่สุด ตามที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่วันก่อตั้งพรรคประชาชน หากดูจากสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีการทุจริตคอรัปชั่น มีรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ทางออกสำหรับประเทศของพวกเราคือการเสนอรัฐบาลที่ดีที่สุด และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ในอดีตพรรคอนาคตใหม่เคยเป็นความหวังให้กับประชาชน เราชนะการเลือกตั้ง แต่โจทย์ต่อไปหากมองย้อนกลับมาที่พรรคประชาชนเอง ภายในพรรคเองก็ต้องมีการทำงานกับประชาชนอย่างเข้มข้น รวมถึงเตรียมนำเสนอนโยบายในอนาคต ประกอบด้วย 3 เสา คือ การเมือง ปฏิรูประบบราชการ และเศรษฐกิจ ส่วนตัวมองว่าประชาชนเห็นความชัดเจนของพรรคมาโดยตลอด

"สิ่งสุดท้ายที่เชื่อว่าจะเป็นความหวังให้กับประชาชนได้คือนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของพรรคเพื่อไทย แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถสร้างทางออกให้กับประชาชนได้ ดังนั้นก็พร้อมที่จะเสนอตัวอาสามาทำงานในจุดนี้ และเตรียมสื่อสารนโยบายด้านเศรษฐกิจต่อประชาชนต่อไป" ณัฐพงษ์ กล่าว
สำหรับข้อสังเกตว่า คะแนนจากการเลือกตั้งของอดีตพรรคก้าวไกลเมื่อการเลือกตั้งคราวที่แล้ว อาจเป็นคะแนนจากกลุ่มประชาชนที่ 'เบื่อลุง' นั้น ณัฐพงษ์ ระบุว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่เบื่อลุงหรือคนที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย หรือคนที่อยากเห็นการเมืองโปร่งใสปราศจากการทุจริตคอรัปชัน เชื่อว่าตอนนี้เห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลที่มัดรวมจัดตั้งรัฐบาล ด้วยดีลแลกประเทศแบบนี้ ไม่ใช่ทางออก ทางออกของประชาชนทุกกลุ่ม คือนโยบายเศรษฐกิจที่แก้ไขปัญหาปากท้อง ปราศจากการทุจริตคอรัปชัน เชื่อว่าประชาชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนในอดีต ล้วนต้องการนโยบายแบบนี้ ซึ่งทุกอย่างพรรคประชาชนพร้อมผลักดันและเสนอเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับประชาชน
ส่วนการประเมินว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจมีคนที่ลงคะแนนงดออกเสียงมากขึ้น ณัฐพงษ์ ระบุว่า หากสื่อสารทางความคิดรณรงค์กับประชาชนได้ดีเพียงพอ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าในทุกนโยบายที่ได้บอกไป เชื่อว่าประชาชนก็ยังมีความหวังอยู่ สามารถเชื่อมั่นฝากความหวังไว้กับพวกเราได้จากการทำหน้าที่ สส. และตัวแทนของพรรค
ขณะที่บางกลุ่มคาดหมายว่าในการเลือกตั้งรอบหน้าพรรคสีแดงก็จะมาจับมือกับพรรคสีส้ม ณัฐพงษ์ ย้ำว่า ได้พูดไว้ชัดเจนแล้วว่า การจัดตั้งรัฐบาลแบบที่เป็นอยู่ พรรคประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพราะไม่ได้นำประชาชนมาเป็นศูนย์กลางในสมการการตัดสินใจ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย ทั้งนโยบายเรื่องปฏิรูปกองทัพ ทลายทุนผูกขาด และอีกหลายเรื่อง ตราบใดที่ประชาชนถูกถอดออกจากสมการการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ ปัญหาเชิงโครงสร้างทุกเรื่องก็ไม่สามารถแก้ไขได้

ส่วนการเลือกตั้งรอบหน้าจะไม่รวมกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ ?
สิ่งที่เราสื่อสารมาโดยตลอด ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยจะสามารถรวมกับพวกเราได้ ก็อาจจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่าง ยกตัวอย่างว่า อาจจะต้องมีการสื่อสารว่าการกระทำที่ผ่านมา เขาทำผิดต่อประชาชนจริงๆ และมีการสื่อสารเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่อยากให้มองว่าเงื่อนไขการจับกับไม่จับมือกับพรรคใด เป็นเงื่อนไขที่พรรคประชาชนตั้งขึ้นมาเองแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น จริงๆ พรรคอื่นๆ ฝั่งอื่นๆ ก็ตั้งเงื่อนไขกับเราเช่นเดียวกัน
ณัฐพงษ์ หน.พรรคประชาชน กล่าว
ณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นสิ่งที่พรรคประชาชนให้ความสำคัญในตอนนี้ ก็คือการทำงานทางความคิด หาทางออกให้กับประชาชนเป็นหลัก สุดท้ายจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้งในอนาคต ส่วนผลออกมาเป็นอย่างไรจะจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่อย่างไร ยืนยันว่าจุดยืนของพรรคประชาชนคือ เราเสนอกับพี่น้องประชาชนว่าอย่างไรก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้งเราก็จะยืนยันแบบเดิม ไม่กลับไปกลับมา ว่าหาเสียงไว้แบบหนึ่งทำแบบหนึ่งแน่นอน
สื่อมวลชนถามย้ำอีกว่า หมายถึงพรรคประชาชนไม่ได้ปิดประตูตายในการจับมือกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ หากต่างฝ่ายต่างมีเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ณัฐพงษ์ ตอบว่า เป้าหมายที่เราต้องการไม่ใช่แค่ชนะการเลือกตั้ง แต่คือหาทางออกให้กับประเทศ หากวันนี้ตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนสื่อสารไปแล้วว่ามีเงื่อนไขใดที่ทำให้จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคใดไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอด อย่างเรื่องของกำแพงภาษีสหรัฐก็เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
"เมื่อถึงเวลาที่เงื่อนไขของโลกเปลี่ยน แต่เงื่อนไขที่ผมตั้งไว้ล่วงหน้า อาจจะยังถูกตั้งคำถามได้ในอนาคต อาจจะกลายเป็นว่าอาจเป็นการปิดประตูให้กับประเทศหรือเปล่า ดังนั้นสิ่งที่เราสื่อสารมาตลอดว่า เราต้องการหาทางออกให้กับประเทศ เงื่อนไขในการจับหรือไม่จับมือกับพรรคใด ควรจะต้องไปหารือในช่วงใกล้ๆ การเลือกตั้ง แล้วก็อาจจะไม่ยุติธรรมที่จะมาถามพรรคประชาชนฝ่ายเดียว จริงๆ คนที่ตั้งเงื่อนไขกับพวกเราก็อาจจะเป็นพรรคอื่นๆ ด้วย จึงอยากให้ตั้งคำถามกับพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน"
ส่วนจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ในสมัยหน้าหรือไม่นั้น ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ก็อยู่ที่ความไว้วางใจของประชาชน ซึ่งสะท้อนผ่านการทำงานของพวกเราด้วย วันนี้ในการประชุมใหญ่เราได้มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง ทั้งการปรับข้อบังคับพรรค การควบคุมวินัย ทำอย่างไรให้ประชาชนเห็นว่าสามารถฝากผีฝากไข้ ฝากความมั่นใจกับตัวแทนของพรรคประชาชนได้ เรามีข้อเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจที่สามารถแก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชน เชื่อว่าถ้าเราทำงานอย่างดีเพียงพอแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาในพรรค จะสะท้อนถึงคะแนนที่จะได้รับในอนาคต และหากคะแนนถึงในการเลือกตั้งเราก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

ขณะที่ความมั่นใจในคดี 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล ที่อยู่ในชั้น ป.ป.ช. นั้น ณัฐพงษ์ ระบุว่า ทีมกฎหมายทำงานกันอย่างเต็มที่ สส.แต่ละคนที่ถูกดำเนินคดีก็มีทีมกฎหมายเฉพาะแต่ละบุคคล และคดีก็ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงสมาธิในการทำงาน ยังคงตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ โดยไม่ได้ประมาท