19 พฤษภาคม 2567 ช่วงท้ายของมหกรรมแถลงนโยบายพรรคก้าวไกล 'ชัยธวัช ตุลาธน' หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีปาฐกถาในหัวข้อ 'อนาคตการเมืองไทย' ชัยธวัช กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่ประชุมรัฐสภาได้มีมติเห็นชอบนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ถือเป็นหมุดหมายใหม่ของการเมืองนับตั้งแต่รัฐประหาร 2549 และ 2557 สิ้นสุดการเมืองแบบเหลือง - แดงอย่างเป็นทางการ กลายเป็นการเมืองของชนชั้นนำของทั้ฃสองสีแบบชั่วคราว
แต่การสร้างประชาธิปไตย ในสังคมไทยให้เกิดขึ้นได้นั้น แค่การเลือกตั้งไม่เพียงพอ เพราะยังต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ รวมถึงปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปสถาบันตุลาการ เพื่อให้อำนาจของประชาชน ที่บอกว่าเป็นอำนาจสูงสุดในระบอบประชาธิปไตยนั้น ปรากฏขึ้นเป็นจริง และสำหรับกลุ่มคนเสื้อเหลืองจำนวนมาก มีบทเรียนแล้วว่าการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง นั้นไม่มีจริง และการเมืองในระบบเลือกตั้ง ที่หลายคนไม่เชื่อมั่นศรัทธา สามารถพัฒนายกระดับได้ การเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งนั้น เป็นไปได้ และอาจเป็นทางที่ดีที่สุดที่มีอยู่
"การเมืองไทยที่มีการแบ่งฝ่าย แบ่งสี เกือบสองทศวรรษได้เปลี่ยนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของการเมืองไทยระหว่างการเมืองชนชั้นนำเพื่อชนชั้นนำ กับการเมืองของประชาชนเพื่อประชาชน การจัดตั้งรัฐบาลในชุดปัจจุบันนั้นเป็นการสะท้อนว่าเป็นการจัดตั้งรัฐบาลของชนชั้นนำอย่างโจ่งแจ้งล่อนจ้อน"
ชัยธวัช กล่าวต่อว่า เมื่อการเมืองของชนชั้นนำ นำสิทธิของประชาชย พิจารณาว่าผู้ต้องขังในเรือนจำบางคน จนได้รับสิทธิ์ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล จึงไม่ใช่สิทธิ์ที่ทุกคนพึงมีเสมอภาคกัน แต่เป็นสถานภาพทางสังคม นี่ย่อมไม่ใช่เจตจำนงของพี่น้องประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างล้นหลามในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และบ่อยครั้งที่ระบบกฎหมายหรือนิติรัฐแบบไทยไทยได้กลายเป็นกลไกในการโบยตีประชาชนให้หลาบจำ
ดังนั้นเมื่อการเมืองชนชั้นนำโอกาสที่ผู้ต้องหาหรือนักโทษคดีการเมืองจะได้รับการนิรโทษกรรมอย่างถ้วนหน้าหรือไม่จึงไม่ได้พิจารณาจากเป้าหมายในการที่จะยุติความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่เคยมีความคิดความเชื่อทางการเมืองแตกต่างกัน และไม่ได้พิจารณาจากเป้าหมายเพื่อที่จะคืนความยุติธรรมให้แก่ทุกคน แต่จะพิจารณาจากความพึงพอใจหรือ ความมีเมตตากรุณาตอบประชาชนเบื้องล่าง ประชาชนต้องรอคอยว่าวันนี้ชนชั้นนำจะแสดงพระเดชหรือพระคุณ การเมืองของชนชั้นนำทำให้กลไกของรัฐไทย ตอบสนองต่อนายตนเอง มากกว่าตอบสนองกับประชาชน เสมือนว่าอำนาจของประชาชนถูกลดทอนอยู่ตลอดเวลา
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ชนชั้นนำแต่ละกลุ่มไม่ได้รักกันเสมอไป ต่างก็ต่อสู้กันว่ากลุ่มไหนจะสามารถครองอำนาจนำเหนือกลุ่มอื่นได้ และพยายามรักษาเอกภาพและความสัมพันธ์ทางสังคม นี่คือจุดร่วมของการเมืองแบบชนชั้นนำ
“การเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค. 66 เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่บ่งชี้ข้อเท็จจริงอันนี้ การเมืองไทยจึงกำลังเดินเข้าสู่บทใหม่ ที่สิ่งเก่ากำลังจะตาย และสิ่งใหม่กำลังจะเกิด สุดท้ายสังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลยภาพใหม่หรือฉันทามติใหม่ระหว่างการเมืองของชนชั้นนำกับการเมืองของประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญนี้“
ทั้งนี้ ยังเชื่อว่า การเมืองแบบชนชั้นนำไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนล้วนมองว่าการเมืองแบบพรรคก้าวไกลเป็นภัยคุกคามต่อตนเองทั้งสิ้น แต่พรรคก้าวไกลจะขอเป็นสะพานเชื่อมแห่งยุคสมัย เชื่อมสังคมไทยแบบเก่ากับสังคมไทยแบบใหม่ แล้วเชื่อมความฝันความหวังกับความเป็นจริง คือภารกิจของพรรคก้าวไกลในสถานการณ์ปัจจุบัน ยืนยันว่าพรรคไม่ได้ดีพร้อมทุกเรื่องตั้งแต่วันแรก วันนี้ก็อาจจะยังไม่ดีอย่างที่อยากเห็น แต่พร้อมเดินเข้าสู่การเมืองด้วยความหวังด้วยความฝันและอุดมการที่อยากเห็นสังคมไทยดีขึ้นมีอนาคตที่ดีกว่านี้
สำหรับ ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ชัยธวัช ระบุว่ามีความหมายต่อพรรคก้าวไกลมาก ต้องขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่ช่วยกันสร้างวันประวัติศาสตร์ให้กับการเมืองไทย แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ แต่เสียงของพี่น้องประชาชนได้เปล่งออกมาอย่างชัดเจนว่า เพดานทางการเมืองแบบเดิมของไทยนั้นได้พังทลายลงจนหมดแล้ว และการเปลี่ยนแปลงใหญ่ผ่านระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเป็นไปได้ ถ้าทุกคนร่วมมือกัน
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกเราพรรคก้าวไกลจากมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักและสร้างการระเบิดครั้งใหญ่ในการปลดปล่อยศักยภาพของสังคมไทยออกมาให้ได้ ปลดปล่อยความรู้สึกนึกคิดและความปรารถนาแบบใหม่ๆของประชาชน ปล่อยการเมืองออกจากการเมืองของคนชั้นนำและสถานพัฒนาการเมืองของประชาชนแสวงหาฉันทามติใหม่เพื่อเชื่อมต่อสังคมไทยแบบเก่าก้าวสู่สังคมไทยแบบใหม่” ชัยธวัช ตุลาธน กล่าวทิ้งท้าย