



25 มีนาคม 2567 บรรยากาศการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 28 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 โดยมี ‘เสรี สุวรรณภานนท์’ สมาชิกวุฒิสภา กับคณะ เป็นผู้เสนอ
โดย เสรี ในฐานะตัวแทนของ สว. แถลงต่อสภาฯ ช่วงหนึ่งได้ ระบุว่า นายกฯ ไปต่างประเทศบ่อย ทำตัวเป็น ‘เซลส์แมน’ ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่ต้องไปแบบซีอีโอหรือผู้บริหารระดับสูง ส่วนเซลส์แมนต้องให้ ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รับผิดชอบ เนื่องจากมีทูตพานิชย์อยู่แต่ละประเทศ
“กลับหัวกลับหางไปหมด รัฐมนตรีหลายท่านออกมาเชียร์นายกรัฐมนตรียกใหญ่บอกว่า เป็นเซลส์แมนดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผลที่ออกมาไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้ดูถูกดูแคลนเซลส์แมนแต่ท่านต้องทำตัวเป็นผู้บริหารระดับสูง หรือเป็นซีอีโอ”
เสรี สุวรรณภานนท์ กล่าว
ส่วนเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่รัฐบาลทำแล้วประสบความสำเร็จมีเรื่องเดียวคือ การช่วยคนทำผิดให้ไม่ต้องรับโทษ โดยให้กรมราชทัณฑ์ออกระเบียบหลายฉบับเอื้อต่อการช่วยคนไม่ให้ต้องรับโทษ แม้กระทั่งมีคำพิพากษาศาลออกมาแล้ว แต่กรมราชทัณฑ์กลับออกกฏหมาย และระเบียบเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบางคน ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ถือเป็นผลงานที่โดดเด่นแต่ทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหาย
เสรี กล่าวต่อว่าทำไปเพราะแสดงอำนาจ และความยิ่งใหญ่กลับมาประเทศแล้วไม่ต้องติดคุกสักวันเดียว จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์เยอะ ตนเองพูดในหลักการ ไม่ได้พูดในตัวบุคคล ตนเองภาวนาให้นายกรัฐมนตรี อยู่ครบ 4 ปี ไม่ใช่มีข่าวถูกเลื่อยขาเก้าอี้ทุกวี่ทุกวัน ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
เมื่อจบคำแถลง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลุกขึ้นตอบอภิปรายสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งถือเป็นการประเดิม ‘ตอบโต้’ สว.ครั้งแรก ว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มายืนในสถานที่อันทรงเกียรติที่นี้ และรับฟังความคิดเห็นคำติชมของ สว.ทุกคนพร้อมยืนยันว่า รัฐบาลนี้ภายใต้การนำของตนเองและรัฐมนตรีทุกคนให้เกียรติกับฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสองสภา เพราะมีหน้าที่บริหาร แต่เมื่อไหร่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติเกิดข้อสงสัยพร้อมเสนอแนะที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เราก็ยินดีมาตอบ พร้อมยืนยันว่า 8-9 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีการอภิปรายมาตรา 153 นี้ แล้วทำไมมาแค่ 7 เดือนถึงมี เพราะเราทราบดีว่ามีหน้าที่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ พร้อมยืนยันว่า ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องมาทำงานและตอบคำถามให้ทุกท่านกระจ่าง
เศรษฐา กล่าวอีกว่า หลายเรื่องที่ท่านอภิปรายมาก็ดำเนินการต่อไปแล้วอย่างกรณีเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศหลาย ครั้งที่เดินทางไปเป็นเรื่องความจำเป็น และการประชุมใหญ่อย่างอาเซียนหลายครั้งเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ผู้นำใหม่รับตำแหน่งต้องไปเยือน อย่างประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา สปป.ลาว ซึ่งเรื่องเหล่านี้เราให้ความตระหนักดีถึงการใช้เวลาการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นประโยชน์สูงสุด พร้อมเข้าใจและรับทราบถึงข้อกังวล แต่ถึงอย่างไรตนเข้าใจดีว่าเราใช้เทคโนโลยีในการบริหารราชการรวมถึงประสานงานกับคณะรัฐมนตรีข้าราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำพาประเทศผ่านวิกฤตไปได้เพราะบางครั้งอาจไม่ต้องมาเจอตัวต่อตัว
ส่วนที่เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่หลายหน เพื่อไปแก้ปัญหาฝุ่นถึงแม้จะมีอยู่แต่ก็ลดไป 30 - 70% แต่ละพื้นที่ สามารถพิสูจน์ได้ว่าลดลงและเปรียบเทียบกว่าปีที่ผ่านมา และการเดินทางไปเชียงใหม่ครั้งล่าสุดก็ลงหลายพื้นที่ ก่อนประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดพะเยา ส่วนที่มีคนพูดว่าตนลงไปทานไวน์นั้นปกติทาน แต่วันนั้นตนไม่ได้ทานเพราะไม่สบาย ซึ่งอาจจะมีการสับสนในเรื่องการจัดวางแก้ว
ส่วนเรื่องงบประมาณที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบไม่ได้เป็นข้อแก้ตัวในการบริหารราชการ หรือข้ออ้างที่จะไม่อยู่ช่วยเหลือประชาชน แต่นโยบายหลักๆของรัฐบาล อาทิการพักหนี้เกษตรกร ฟรีวีซ่าหลายประเทศ ลดค่าใช้จ่าย ลดราคาสินค้าการเกษตร ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลให้ความสำคัญ รวมถึงเปิดตลาดสินค้าการเกษตรใหม่ เห็นจากราคายางวันนี้สูงขึ้นกว่า 100 บาทแล้ว
ส่วนเรื่องการลงทุนต่างประเทศ ตนขอยืนยันว่า รัฐบาลก่อนก็มีการทำไว้บ้าง และหลายเรื่องที่รัฐบาลนี้คิดว่าเขาทำมาดี และรัฐมนตรีหลายคนก็เคยอยู่มาก่อนเราก็ให้เกียรติ พร้อมย้ำว่า อะไรที่ทำดีเราก็ทำต่อ ไม่ใช่ไปปรับตกทุกเรื่อง ทั้งนี้ตนขอความกรุณาว่าการลงทุนมูลค่าแสนล้าน หรือล้านล้านบาท มันต้องใช้เวลามากกว่า 7 เดือนที่ผ่านมาเพราะต้องมีการตกลงแต่ถึงอย่างไรตนมั่นใจว่าจากการทำงานของผู้แทนการค้าและทีมงานจะมีการแถลงพรุ่งนี้ประมาณ 11:30 น. ซึ่งจะทำให้ทราบถึงความก้าวหน้าในการเดินทางไปต่างประเทศ นำนักลงทุนมายกระดับอุตสาหกรรมไทย ซึ่งเรื่องเหล่านี้รัฐบาลให้ความสำคัญถึงแม้งบประมาณจะยังไม่ออกมา แต่ช่วงเวลานั้นงบประมาณเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถทำให้เราผลักดันได้อย่างเต็มที่
ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเราต้องมีการฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อนำมาประกอบเป็นนโยบายที่ดีที่สุด ซึ่งวันนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จะแถลงถึงไทม์ไลน์ที่มีการรับฟังมา เพื่อให้เห็นถึงรูปธรรม
ส่วนเรื่องการแก้หนี้นอกระบบ ตนเห็นด้วยกับการที่สว.บอกว่ายังไม่จบ โดยเสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมาตนก็เยี่ยมชมโรงพักในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก็ทราบดีและมีการกำชับไปว่าไม่ใช่คอยให้ประชาชนมาแจ้ง แต่เจ้าหน้าที่และฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคงต้องลงไปในพื้นที่เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนมาแจ้งด้วย พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลนี้เข้ามาและจะแก้ปัญหานี้จริงๆ ไม่ใช่แค่ให้ฝ่ายปกครองหรือฝ่ายความมั่นคงดำเนินการอย่างเดียว ซึ่งที่ผ่านมามีความคืบหน้าพร้อมยืนยันว่า ตนรับฟังและเห็นด้วยว่าปัญหายังไม่ถูกแก้อย่างบูรณาการ แต่ถึงอย่างไร 7 เดือนมีความคืบหน้าในการแก้ไขเรื่องนี้
"ยืนยันนะครับว่า รัฐบาลชุดก่อนก็มีการทำงานไปแล้วบ้าง หลายเรื่องที่เราคิดว่าเขาทำมาดี รัฐมนตรีหลายท่านก็เคยอยู่ในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา เราก็ให้เกียรติอะไรทำมาดีเราก็คงไม่อยู่ไม่ได้ปัดตกทุกเรื่อง ในเรื่องการลงทุนทางทีมงานก็ได้ไปติดต่อกับบริษัทข้ามชาติ แต่ผมขอความกรุณาอย่างนี้ว่าการลงทุนเป็นหลักแสนล้าน หรือหลักล้านๆ ใช้เวลามากกว่า 7 เดือนที่ผ่านมา ต้องมีการตกลง"
เศรษฐา ทวีสิน กล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลเราพร้อมชี้แจง สว. ซึ่งหลายคนก็จะตามมาสมทบเพื่อชี้แจงในเรื่องที่ถูกอภิปราย ซึ่งเชื่อว่าทุกคนให้เกียรติและพร้อมที่จะชี้แจง สว.