





19 พฤษภาคม 2567 ที่ ไบเทคบางนา พรรคก้าวไกล จัดงานมหกรรมนโยบายพรรคก้าวไกล Policy Fest ครั้งที่ 1 ‘ก้าวไกล Big Bang’ ซึ่งมี ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์jก่อนเปิดงานว่า วาระงานถูกจัดขึ้น เพื่อสอดคล้องกับวาระหลังการเลือกตั้งครบรอบ 1 ปี ซึ่งเป็นการตั้งคำถามว่าในรอ 1 ปี เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ประชาชนคาดหวังแล้วหรือยัง โดยสำรวจผ่านเสียงสะท้อนของประชาชน ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการมากที่สุด
ส่วนกรณีการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เห็นว่า หากเมื่อปีที่แล้ว พรรคก้าวไกลได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั้น พิธากล่าวว่า ในประเทศไทยมี 6 ระเบิดเวลาสำคัญ ถ้ารัฐบาลตั้งใจทำงาน - มีวาระของตนเอง ก็จะทำให้ 6 วาระดังกล่าวเกิดศักยภาพที่ดีได้
"ทุกคนจำได้เมื่อตอนอภิปราย ม.152 ผมถามรัฐบาลว่ามีวาระสำคัญอะไร และนี่คือวาระของพรรคก้าวไกล เราเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกก็มีวาระ และถ้าเราเป็นรัฐบาลเราก็มีวาระ ซึ่งถ้ารัฐบาลทำงานแบบไม่มีวาระก็จะไม่มีทิศทาง เราก็จะโชว์สิ่งที่เราคิดว่าเป็นระเบิดเวลา ศักยภาพของพรรคด้วย ว่ามันตรงใจกับที่ประชาชนคิดไว้ในใจหรือเปล่า"
เมื่อถามถึงกระแสข่าว การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการทิ้งทวนงบประมาณของพรรคก้าวไกล หลังคาดว่าจะถูกยุบพรรค พิธา ยืนยันว่า ณ ขณะนี้ทางพรรคยังต่อสู้ทางกฎหมายอยู่ และการจัดกิจกรรมในครั้งนี้เป็นไปตามวาระครบรอบ 1 ปีหลังการเลือกตั้ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับว่าพรรคจะถูกยุบหรือไม่ แม้แต่ห้วงวันเปิดประชุมสภาฯ ที่หลายคนคาดว่าจะเป็นวันที่พรรคถูกยุบ คนก็ยังทำงานเต็มที่ ทั้งการเตรียมข้อมูลเพื่ออภิปรายเรื่องประชามติ และเรื่องงบประมาณแผ่นดิน ส่วนตัวก็ยังเตรียมความพร้อมอยู่ และทำทุกวันให้เต็มที่ ไม่ได้เสียสมาธิแต่อย่างใด
พิธาได้กล่าวย้ำว่า จากการครบรอบ 1 ปีของการเลือกตั้ง มีเสียงสะท้อนจากประชาชน ว่ามีอีกโอกาสหลายอย่าง ที่รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้ เพราะมีงบประมาณจำนวนกว่า 3 ล้านล้านบาท แต่สำหรับความรู้สึกของพี่น้องประชาชนในตอนนี้ แทบไม่เห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย
ในช่วงหนึ่งของการ ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ ‘Why 6 Big Bang พิธา ระบุว่า วันนี้เป็นวันที่พิสูจน์ว่า พรรคก้าวไกลไม่เหมือนพรรคอื่น และมีโปรเจคทางการเมือง มีวาระทางการเมือง 6 อย่าง ที่หากปล่อยทิ้งไว้จะเป็นระเบิดเวลาของประเทศ แต่ถ้าพวกเราตั้งใจทำงาน ตั้งใจสร้างนโยบายการเมืองให้เป็นเรื่องสนุก เชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนระเบิดเวลา 6 ลูกนี้ ให้กลายเป็นศักยภาพของประเทศไทยได้
วันนี้ที่เรามารวมตัวกัน เดือนพฤษภาคมของประเทศไทยเป็นเดือนที่มีความรู้สึกปนเปกันไป บางช่วงของประวัติศาสตร์เดือนพฤษภาคมคือพฤษภาแห่งความกลัว บางปีเดือนพฤษภาคมก็เป็นพฤษภาแห่งความหวัง
ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา วันที่ 14 พ.ค. 66 คือวันที่ 14 ล้านหัวใจทั่วประเทศไทย รวมกันเป็นหัวใจหนึ่งเดียว ที่อยากจะเห็นการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ที่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศไทยและทั่วโลกออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเข้าคูหาด้วยความหวัง ไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ชอบพรรคก้าวไกล ไม่ว่าท่านจะเลือกหรือไม่เลือกพรรคก้าวไกล ทุกคนต้องยอมรับว่า ทศวรรษที่สูญหายตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ยึดอำนาจจนถึงการเลือกตั้ง นี่คือการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด บริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุด
และไม่ใช่เป็นเพราะชนะการเลือกตั้ง หรือเพราะก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง แต่นี่คือพฤษภาคมแห่งความหวัง ที่พี่น้องประชาชนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่ารวยดีมีจน คนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นใหญ่ มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมหรือก้าวหน้า ทุกคนเข้าคูหา และไม่ว่าจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของพรรคก้าวไกล ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคก้าวไกลชนะอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการซื้อเสียงเลย แม้แต่บาทเดียว
พิธา ยกตัวอย่างดัชชี้วัดและสถิติต่างๆ ที่ลดลงของประเทศในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
“อย่างที่ผมเคยสัญญาตอนที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลว่า ผมไม่รังเกียจในการเป็นฝ่ายค้าน ขอซื่อสัตย์กับตัวเองทางการเมือง และทำงานเป็นฝ่ายค้าน เผลอๆ ถ้าฝ่ายค้านตั้งใจทำงาน ทำงานได้เยอะกว่ารัฐบาลอีก ในระบบประชาธิไตย ฝ่ายค้านเชิงรุกที่ทำงานก็สร้างความหวังให้กับพี่น้องประชาชนได้เช่นเดียวกัน“
พร้อมยกสมการความหวัง โดยอธิบายถึงการทำงานของฝ่ายค้านเชิงรุก ที่ควรมีส่วนประกอบของ 1.ผู้นำที่เข้มแข็ง 2.ประชาชนที่พร้อมแข่งขัน 3.ความเชื่อใจในกันและกัน
ถ้าประเทศไหนมี 3 องค์ประกอบนี้ ประเทศนั้นจะมีความหวังเสมอ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคหรือความท้าทายแบบไหน นี่คือสาเหตุที่เราอยากจะบอกว่า ในการเมืองไทยมีพรรคการเมืองที่หลากหลาย ยังมีพรรคอย่างพรรคก้าวไกลที่พยายาม พรรคก้าวไกลยังไม่เป็นพรรคที่สมบูรณ์แบบ เรายังมีเรื่องที่ต้องพัฒนาอีกเยอะ แต่อย่างน้อยเราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะซื่อสัตย์กับประชาชนกับตนเอง ตรงไปตรงมา พยายามสะสมประสบการณ์ในสภา การเรียนรู้ราชการ
“นี่คือ 6 Big Bang ของประเทศไทย ที่ถ้าเราทิ้งไว้จะเป็นระเบิดเวลา แล้วคนรุ่นต่อไป จะต้องมาแก้ไข แต่ถ้ารัฐบาล พรรคการเมือง หรือผู้นำ เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ พอมี่จะสามารถลงทุนกับประชาชนให้มีความเข้มแข็งและมีความเขื่อมั่นซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กับถนน ผ้าม่าน สัมนาอะไรไม่รู้ ถ้าบอกว่าวาระการทำงานของรัฐบาลคืออะไร ผมนึกไม่ออก
แต่ผมก็ไม่อยากเป็นคนที่ค้านทุกเรื่อง หากพรรคตัวเองไม่มีวาระ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน แล้วอะไรคือวาระทางการเมืองของคุณที่จะเอาภาษีของพี่น้องประชาชน เอาความไว้วางใจที่มั่นใจว่าคราวหน้าจะได้มากขึ้นอีก
สงสัยคราวหน้าต้อง 270 เสียงซะแล้ว หรือจะเอา 300 เสียง ตามตรรกะคูณ 2 แต่ผมไม่ได้พูดเล่นๆ ไม่ได้พูดเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีวาระที่ต้องการจะขับเคลื่อน“
พิธา กล่าวถึงวาระดังกล่าวว่า ถ้าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ก็สามารถพูดได้ และเข้ามีส่วนร่วมได้ ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ข้อ แบ่งเป็น วาระเฉพาะหน้า 1.เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ 2.เรียนรู้ทันโลก 3.ยกระดับคุณภาพชีวิต และวาระเฉพาะกาล 4.ปลดล็อคชนบทไทย 5.ปฏิรูปรัฐครั้งใหญ่ 6.ประชาธิปไตยเต็มใบ
พิธา กล่าวด้วยว่า แทนที่จะคิดนโยบายโดยเอากระทรวงมาเป็นตัวตั้ง โดยไม่เกิดการบูรณาการ เราต้องคิดแบบเอาวาระเป็นตัวตั้ง ให้หลายกระทรวงมารวมเป็นวาระเดียวกันได้ ไม่ต้องต่างคนต่างทำ
"ตอนที่เป็นไทยแลนด์ 4.0 ทุกกระทรวงของบประมาณมาสร้างถนน ขอสัมมนาภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 แต่ละกระทรวงต่างคนต่างคิดแล้วก็มารวมกัน ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ใต้ซอฟต์เพาเวอร์ ทุกอย่างเป็นซอฟต์พาวเวอร์หมดเลย ก็เปลืองภาษีของท่าน ถึงต้องเอาปัญหาของประชาชนและประเทศมาเป็นที่ตั้ง”
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคมาเดินทางไปด้วยกัน แม้ว่าเขาจะทำอะไรกับพรรคเรา เขาก็ทำลายจิตวิญญาณของพวกเราไม่ได้ แม้ว่าเขาพยายามจะทุบ ทำลายพรรคการเมืองของเราไป หรือจะไม่ทุบก็แล้วแต่ เราจะหยิบอิฐกันคนละก้อนแล้วมาสร้างบ้านหลังใหม่ของพวกเราไปด้วยกัน อย่างไรอยู่กับพวกคุณแน่นอน