ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รมว.พาณิชย์) กล่าวถึงการนัดหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 เมษายนว่า เป็นการหารือเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เนื่องจากวันที่ 23 เมษายนจะนำเรื่องรัฐธรรมนูญเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถ้า ครม.อนุมัติจะส่งไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เลย
โดยเนื้อหาที่พูดคุยกันนั้น เป็นการสรุปแนวทางที่จะเสนอเข้า ครม. คือ การทำประชามติ 3 ครั้ง และได้หารือเกี่ยวกับคำถามประชามติว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่ต้องอิงกับนโยบายที่เคยประกาศไว้ ส่วนแนวคำถามที่เตรียมไว้ คณะกรรมการฯได้ร่างไว้แล้ว และจะเสนอเข้า ครม. แต่โดยสรุปที่มีการยืนยันกัน 3 พรรค คือจะถามว่า จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่แก้หมวด 1 และหมวด 2 หรือไม่
เมื่อถามว่า จะมีการกำหนดไทม์ไลน์เอาไว้หรือไม่ว่าจะมีการเดินหน้าแต่ละสเตปอย่างไร ภูมิธรรม กล่าวว่า หากในที่ประชุม ครม.วันที่ 23 เมษายนเสร็จ ก็จะส่งไปที่ กกต.เลย กระบวนการทั้งหมดอยู่ที่ กกต. ที่จะต้องจัดการภายใน 90 วัน ซึ่ง กกต.สามารถทำเร็วกว่านี้ได้ อยู่ที่ กกต. จากนี้ไปจะไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแล้ว ถือว่ารัฐบาลทำหน้าที่จบแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ กกต. ทั้งนี้หากไม่มีปัญหาอะไร ก็คาดว่าการทำประชามติครั้งแรกน่าจะทำในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ และกระบวนการต่างๆ จะขยับไปตามกระบวนการกฎหมาย
ส่วนที่มีประชาชนไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่คณะกรรมการฯเสนอ ภูมิธรรม กล่าวว่า จะบอกว่าประชาชนไม่มีส่วนร่วมไม่ได้ เพราะเราจะเสนอความเห็นที่แตกต่างทั้งหมด เข้า ครม. ทั้งนี้ตนเองได้เชิญทั้งพรรคฝ่ายค้าน และกลุ่มไอลอว์ เข้าร่วมในคณะกรรมการแล้ว แต่ได้รับการปฏิเสธ แต่ในกระบวนการก็ได้ไปพูดคุย รับฝากความเห็นแล้วรวมถึงหารือผลลัพธ์ที่ได้มาทั้งหมด นอกจากนี้เราได้ไปสอบถามความเห็นจากประชาชนทั้ง 4 ภาค เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเราไม่คุยกับประชาชนไม่ได้ หากจะขาดความเห็นใครไปบ้างก็คงขาดจากพรรคฝ่ายค้านที่ปฏิเสธไม่เข้าร่วมคณะกรรมการ
อย่างไรก็ตาม วันที่ 23 เมษายน จะสรุปข้อเสนอของอนุกรรมการทั้งหมดเข้า ครม. และจะมีการแนบความเห็นของพรรคฝ่ายค้านหรือประชาชน กลุ่มไอลอว์ ไปด้วย คิดว่าครบถ้วนแล้ว เราไม่มีอะไรปิดบังอำพราง ไม่ได้เล่นแร่แปรธาตุอะไร ความจริงเสร็จตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 และสามารถเข้าได้เลย แต่เนื่องจากมีประเด็นที่เสนอไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นห่วงว่าถ้าเราเดินหน้าต่อไปแล้วศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นอีกอย่าง กระบวนการที่ทำมาก็จะสิ้นสุดลง
ส่วนข่าวลือที่จะมีการเคลื่อนไหวไม่ให้ประชาชนมาลงสิทธิประชามตินั้น ภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ขอใหัพิจารณา หากผลประชามติไม่ผ่านมา หรือจำนวนผู้มาใช้สิทธิไม่ครบ ก็ต้องกลับไปใช้รัฐธรรมนูญ 60 แต่ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงก็ขอให้แก้ไขด้วยกระบวนการประชาชน ยืนยันเราจะทำให้ดีที่สุด จึงอยากให้ฝ่ายค้านพิจารณาใหัรอบคอบ หากจะไปเคลื่อนไหวไม่ให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญเกิดขึ้นก็แสดงว่าอยากกลับไปอยู่แบบในช่วงรัฐประหารใช่หรือไม่นั้น ไม่อยากให้คิดว่าความเห็นของใครถูกต้อง เพราะทุกพรรคการเมืองก็มีฐานประชาชนสนับสนุน อย่าเอาเรื่องนี้มาเถียงกันเลย
“ถ้าจะอ้างความเห็นประชาชนไม่ต้องการ ตัวแทนพรรคการเมืองก็มีฐานสมาชิกจากประชาชนที่สนับสนุนเขามา จึงอย่าเอาเรื่องนี้มาเถียงกันเลย ถ้าจะอย่างนั้นผมก็บอกว่า 6 พรรคการเมืองในรัฐบาลมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้าน ไม่เช่นนั้นเราคงตั้งรัฐบาลไม่ได้ ซึ่งถ้าเถียงกันเรื่องนี้มันไม่ใช่สาระ สาระสำคัญคือทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ส่วนเรื่องหมวด 1 และหมวด 2 มันมาจากการหาเสียงของพรรคการเมือง มีการแถลงข่าวและยังมีการนำเข้ามาในรัฐสภา เป็นโยบายของรัฐบาล และกระบวนการก่อนตั้งรัฐบาล ทุกคนเห็นแล้วว่าทุกพรรคการเมืองที่มาร่วมตั้งรัฐบาลพูดเรื่องหมวด 1 และหมวด 2 ชัดเจน ฉะนั้นเราทำตามกระบวนการและสิ่งที่ชอบโดยปกติทั้งหมด ไม่มีประเด็นอื่น”
ปรับ ครม.อำนาจอยู่ที่นายกฯ ไม่เคยได้ยินขีดเส้นส่งชื่อ รมต. 24 เม.ย.
ภูมิธรรม ยังกล่าวด้วยว่า การหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 21 เม.ย.ไม่มีเรื่องการปรับ ครม. และไม่มีหัวหน้าพรรคคนใดสอบถามเรื่องการปรับ ครม. ถ้าจะมีการหารือเรื่องนี้จะมีการนัดหมาย ซึ่งเรื่องการปรับ ครม.เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี อยู่ที่นายกฯจะพิจารณาว่าจะปรับหรือไม่ปรับ หรือจะปรับอย่างไร คงจะมีการหารือ ถ้ามีความชัดเจนจริงๆ อาจจะต้องประชุมหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีบางกระแสระบุว่ามีการเลื่อนปรับ ครม. ออกไปอีก 2 เดือน ประมาณเดือนมิถุนายน เพื่อรอให้งบประมาณปี 68 ผ่านสภาก่อน ภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่มีการคุยกันเรื่องนี้เลย
เมื่อถามว่ามีอีกกระแสข่าวระบุว่าในส่วนของพรรคเพื่อไทยมีการขีดเส้นให้ส่งรายชื่อภายในวันที่ 24 เม.ย. นี้ ภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเป็นรองนายกฯ คนที่ 1 และเป็นผู้อาวุโสในพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้ยินเรื่องนี้เลย เรื่องปรับ ครม. ถ้าจะมีหรือไม่มีขึ้นอยู่กับนายกฯ ที่มีอำนาจเต็มในการปรับ ครม.
