ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีการแก้ปัญหา “เครื่องยนต์เรือดำน้ำ” หลังได้คำตอบจากเยอรมนีแล้ว ว่า จะตัดสินใจในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งที่ผ่านมา ผมพยายามหาข้อมูลเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
ทั้งการทำจดหมายสอบถามไป 2 ฉบับ ฉบับแรก ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ไทย ลงนามสอบถามไปยัง ผบ.ทร. เยอรมนี ซึ่งได้รับคำตอบมาแล้วว่าเป็นเรื่องของฝ่ายนโยบาย และ ผบ.ทร. เยอรมนี ก็บอกว่ายาก เพราะมีเรื่องของนาโต และสภาสหภาพยุโรปเข้ามาเกี่ยวข้อง
สอดคล้องกับที่ผมได้สอบถาม รมว.กลาโหมเยอรมนี หรือแม้แต่เจรจาขอให้เยอรมนีขายเครื่องยนต์ตรงกับไทยแล้วมาติดตั้งเองก็สามารถทำได้ ดังนั้น เรื่องที่ขอซื้อเครื่องยนต์จากเยอรมนีก็คงเป็นไปไม่ได้
นอกจากนี้ ได้มีการพูดคุยกับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย โดยฝากข้อความถึงกรมการเมืองภายในของจีน ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในการตัดสินใจ และเขาระบุว่าเป็นเรื่องของภาคเอกชนจีน ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้มากกว่านี้ โดยได้พยายามเจรจาหลายส่วนแล้ว และคงเป็นไปไม่ได้ที่ทางจีนจะยอม เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
จีนจึงพยายามหาทางออกในเรื่องการชดเชยต่าง ๆ แต่ถ้าไทยยกเลิก จีนก็คงไม่คืนเงิน เพราะเขาถือว่าไม่ได้ผิดเงื่อนไขในสัญญา แต่มันเกิดจากเรื่องเครื่องยนต์ ซึ่งจีนได้หาเครื่องยนต์มาทดแทนแล้ว และมีคุณสมบัติใกล้เคียง
ภูมิธรรม เผยว่า ได้พบกับทูตปากีสถาน ทราบว่ากองทัพเรือปากีสถานซื้อเรือดำน้ำจากจีนแบบเดียวกับไทย โดยได้ทำการทดลองใช้แล้วจาก 1 ใน 8 ลำ ผลสรุปคือไม่มีปัญหา ใช้ได้ดี และมีการรับรองจากหน่วยงานว่ามีมาตรฐาน ดังนั้น ชัดเจนว่าตอนนี้มีเพียง 2 ทางเลือก คือ
ยกเลิก แต่จะเสียเงินที่จ่ายไปแล้ว 80% ซึ่งเป็นเงิน 7,000-8,000 ล้านบาท ก็เป็นเรื่องที่จะต้องคิดถึงความเหมาะสมว่าจะดำเนินการอย่างไร
ส่วนอีกทางก็คือ เดินหน้าต่อ ซึ่งสามารถมั่นใจในหลายเรื่องได้ในเรื่องความปลอดภัย แต่มีเรื่องสัญญาที่ต้องทำให้เกิดความชัดเจน ซึ่งผมจะสอบถามทางกฤษฎีกาอีกครั้ง แม้ในยุคของ สุทิน คลังแสง อดีต รมว.กลาโหม จะเคยสอบถามไปแล้วก็ตาม พร้อมกันนี้ จะชี้แจงให้ประชาชนรับฟังแนวทางทั้งหมดที่ได้ดำเนินการมา และจะเสนอนายกรัฐมนตรี รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องให้รับทราบ และเตรียมนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
ถ้าไม่ไปต่อ ก็เสียเงินทั้งหมด แต่ถ้าไปต่อ ก็ไม่มีปัญหา ได้เครื่องยนต์ที่มีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งผ่านการวิจัยแล้วว่าเทียบเท่าเครื่องยนต์เดิม ก็สามารถไปได้ ในส่วนตัวของผม ผมก็มีความเห็นอยู่ในใจแล้ว
เมื่อถามว่า ดูแนวโน้มแล้วการเดินหน้าต่อจะส่งผลดีกว่าการยกเลิกใช่หรือไม่? ภูมิธรรม กล่าวว่า ก็อยากให้ช่วยกันคิดเพื่อเป็นแนวทางให้ผมตัดสินใจ โดยผมต้องเป็นผู้ตัดสินใจสุดท้ายก่อนเสนอ ครม.
เมื่อผู้สื่อข่าวย้ำว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นแบบจีทูจี หากมีการยกเลิกจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก? ภูมิธรรม กล่าวว่า สิ่งที่ผมต้องคิดคือเงินจ่ายไปแล้ว และมีการตั้งกองเรือดำน้ำ มีการฝึกและส่งกำลังพลไปศึกษา มีการตั้งหน่วย รวมถึงมีการก่อสร้างอู่จอดเรือดำน้ำ 80% แล้ว ในหลายเรื่องเกิดขึ้นแล้ว
หากตัดสินใจไม่เอา สิ่งเหล่านี้ก็จะเสียทั้งหมด ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผมคิดมาก และถ้าเอา, ก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ทางไหนที่รักษาประโยชน์ของประเทศได้ ตนจะใช้สิ่งเหล่านี้ตัดสินใจ
เมื่อถามว่าทางจีนขีดเส้นหรือไม่ ว่าอยากได้คำตอบเมื่อไร? ภูมิธรรม กล่าวว่า จีนอยากได้คำตอบมานานแล้ว ผมโดนบริษัทจากจีน กองทัพเรือ นำเสนอเงื่อนไขมาให้ เพื่อให้ผมตัดสินใจ ซึ่งกองทัพเรือตัดสินใจแล้ว แต่สำหรับผมถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และจะกระทบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งทางจีนเองไม่อยากแทรกแซงประเทศไทย มากำหนดให้ต้องตัดสินใจ และทางจีนเองก็มีหน้าที่รักษาให้เป็นไปตามข้อสัญญาที่พลเรือนทำไว้
ยืนยันว่าเรื่องเรือดำน้ำจะจบภายในยุคของผม ประมาณปลายเดือนพฤษภาคม หรือต้นเดือนมิถุนายนนี้ จะได้คำตอบที่ชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมา ผมได้ทำทุกขั้นตอนแล้วที่กังวล และมีคำตอบที่ชัดเจนออกมา โดยมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ใช่เรื่องที่ผมไปเซ็นสัญญาและก่อขึ้น แต่เป็นเรื่องที่เราเข้ามาแก้ไขปัญหา ความจริงผมสามารถปล่อยเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่วิสัยของผู้บริหาร ก็สมควรที่ต้องตัดสินใจ
ส่วนเมื่อถามว่า หากเดินหน้าโครงการ เป็นกังวลเรื่องไหนมากที่สุด? ภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องความเข้าใจของประชาชน ไม่อยากให้มีดราม่า เมื่อตัดสินใจไป ส่วนสังคมจะเข้าใจหรือไม่นั้น ผมยังไม่ทราบ แม้จะเป็นโครงการที่ไม่ได้ทำในยุคของผม แต่เรื่องดราม่ามันมีมาก
ขนาดยังไม่ได้ตัดสินใจก็ยังมีเรื่องว่าจะยกเรือให้กัมพูชา, เลอะเทอะ ซึ่งไม่เป็นความจริง เขากำลังเจรจาหาทางออก ไม่มีใครเขาทำอะไรที่จะทำให้รู้สึกว่าจะมีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็เคารพเรา ดังนั้น อย่าดราม่า เพราะมันมีทั้งผลดีและผลเสีย รวมถึงกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และผลกระทบต่อคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา