เรียกว่า ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ต้องการให้ ‘กลาโหม’ เป็นกระทรวงหนึ่ง ที่ไม่ได้มี ‘อภิสิทธิ์’ เหนือกระทรวงใด ไม่จำเป็นต้องให้ ‘อดีตทหาร’ มาเป็น ‘รัฐมนตรีว่าการ’ แต่ให้ ‘พลเรือน’ คุมได้ และแหวก ‘ม่านประเพณี’ ที่ต้องเป็น นายกฯ ควบ หลัง ‘สุทิน คลังแสง’ ใน ‘รบ.เศรษฐา’ นำร่องมาแล้ว มาสู่ ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ ว่าที่ รองนายกฯ ควบ รมว.กลาโหม
‘แดงสารคาม’ แบบฉบับ ‘บิ๊กทิน’
ย้อนไปช่วงปี 2551-2553 ‘สุทิน’ เป็นแกนนำเสื้อแดง จ.มหาสารคาม เคยนำมวลชนเดินขบวนต้านเผด็จการ ช่วงปี 2555-2556 ‘สุทิน’ เคยเดินสายร่วมเวทีเสวนากับ ‘แดงฮาร์ดคอ’ ได้แก่ สมยศ พฤกษาเกษมสุข , สุรชัย แซ่ด่าน และ สุนัย จุลพงศธร
ช่วงรัฐประหาร 2557 ‘สุทิน’ เคยถูกควบคุมตัวไว้ในเขตทหารที่ ค่ายทหาร จ.ราชบุรี 3 วัน และ จ.ร้อยเอ็ด 4 วัน ต่อมาปี 2558 ‘สุทิน’ คือคนหนึ่งที่ถูกเรียกเข้าค่ายทหาร เพื่อ ‘ปรับทัศนคติ’ ที่มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร์ จ.ขอนแก่น หลังขึ้นเวทีปราศรัยบนบนเวทีคอนเสิร์ตลูกทุ่งในชื่อวง ‘สวรรค์บ้านนา’ ในงานบุญผะเหวด อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ในลักษณะเสียดสีทางการเมืองโดยมีข้อความที่เข้าข่ายฝ่าฝืนคำสั่งของ คสช. และฝ่าฝืนกฎอัยการศึก
แต่เมื่อ ‘สุทิน’ ต้องมารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม ก็หนีไม่พ้น ‘อดีต’ จะจัดการอย่างไร ? เพราะ ‘ขั้วตรงข้าม’ กับ ‘กองทัพ’ แต่ต้องมาคุม ‘กองทัพ’ นั้น ซึ่ง ‘สุทิน’ ไม่ได้เป็น ‘แดงฮาร์ดคอ’ แต่เป็น ‘เสื้อแดง’ ทำงานการเมือง ที่มองเรื่องราวในอดีตในลักษณะที่ว่า ‘เรื่องผ่านไปแล้ว’ ทำให้เป็น รมว.กลาโหม มา 1 ปีเต็ม สามารถประสานกับ ‘ทหาร’ ได้ ทำให้ ‘กองทัพ’ ไม่ตกเป็นเป้า ที่ใช้ทั้ง ‘ไม้แข็ง-ไม้อ่อน’ ไปพร้อมๆกัน
ในฝั่ง ‘บิ๊กทหาร’ ในกองทัพ ก็รู้สึกดีที่ ‘สุทิน’ มานั่ง รมว.กลาโหม ในแง่หนึ่งได้ ‘สุทิน’ มาชี้แจง เพราะเป็น ‘พลเรือน’ พูด ย่อมมีน้ำหนักกว่า ‘ทหาร’ เป็นคนพูด อีกทั้ง ‘สุทิน’ เรียนรู้งาน ‘กองทัพ’ ได้เร็ว ทำให้บางครั้ง ‘สุทิน’ ถูกวิจารณ์ว่าเป็น ‘โฆษกกองทัพ’ ไปอีกคน
ส่วนที่เป็นทั้ง ‘จุดแข็ง-จุดอ่อน’ ของ ‘สุทิน’ นั่นคือ ‘สุทิน’ ไม่มี ‘รุ่นเตรียมทหาร-ไม่มีรุ่นโรงเรียนเหล่า’ เพราะไม่ได้เป็นทหาร แต่อีกแง่ก็ทำให้ไม่รู้จัก ‘บิ๊กทหาร’ ว่าแต่ละนายเติบโตมาอย่างไร โดยเฉพาะการพิจารณา ‘โผทหารนายพล’ ในการวางตำแหน่ง ‘ผบ.เหล่าทัพ’ ซึ่ง ‘สุทิน’ ก็ต้องสอบถามจาก ‘ทีมหน้าห้อง’ ที่เป็นนายทหารทั้งในและนอกราชการ ที่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นเรื่อง ‘รุ่น-เหล่า’ มาเกี่ยวข้อง
‘ภูมิธรรม’ อดีต ‘สหายใหญ่’ คุมกลาโหม
มาถึงยุค ‘กลาโหม’ ยุค ‘บิ๊กอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย’ ว่าที่รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่ก็มีอดีตกับ ‘กองทัพ’ เช่นกัน แต่กรณี ‘ภูมิธรรม’ โดนย้อนไปถึงยุค ‘คนเดือนตุลา’ ที่ต่อสู้กับ ‘กองทัพ’ ตั้งแต่ยุค 14 ตุลา 16 มาจนถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 สมัยเป็นนิสิต ‘สิงห์ดำ’ รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่ง ‘ภูมิธรรม’ ได้เดินเข้าป่าจับอาวุธสู้ มีชื่อจัดตั้งว่า ‘สหายใหญ่’ ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ หรือเขตอีสานใต้ ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)
ซึ่ง ‘ภูมิธรรม’ ต่อสู้ในขบวนการ พคท. จากพื้นที่อีสานใต้ไปถึง สปป.ลาว จนถึงปี 2522 ‘ภูมิธรรม’ ได้ออกจากป่าและ ขบวนการ พคท. ก่อนจะมีคำสั่ง 66/2523 ยุค ‘รบ.ป๋าเปรม’ ที่นิรโทษกรรมให้นักเคลื่อนไหว
ต่อมา ‘ภูมิธรรม’ ได้เข้าทำงานสาย ‘อาสาสมัคร-เอ็นจีโอ’ ก่อนที่ ‘ทักษิณ’ จะชวนมาตั้ง ‘พรรคไทยรักไทย’ ช่วงปี 2537-2541 เรียกว่า ‘ภูมิธรรม’ เป็นสายตรง ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ ที่ล่าสุดถูกส่งมาดูแลทั้ง ‘เศรษฐา-แพทองธาร’ ในฐานะ ‘ผู้จัดการรัฐบาล’
สำหรับ ‘ทักษิณ-ภูมิธรรม’ รู้จักกันมาตั้งแต่ยุคเดือนตุลา เพราะช่วง 14 ตุลา และ 6 ตุลา เมื่อศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) จะยื่นหนังสือประท้วงรัฐบาล ก็จะยื่นผ่าน ‘ปรีดา พัฒนาถาบุตร’ รมต.สำนักนายกฯ ‘รัฐบาลคึกฤทธิ์’ ซึ่งในขณะนั้น ‘ทักษิณ’ เป็นตำรวจติดตาม ‘ปรีดา’ นั่นเอง
จึงเป็นการประสาน 2 แนวคิด ระหว่างสาย ‘ธุรกิจ + อุดมการณ์’ ในการทำ ‘พรรคการเมือง’ ขึ้นมา เพราะการทำพรรคต้องใช้ ‘ทุน + ความคิด’
‘ทักษิณ’ ตาดีได้ (อยู่ยาว) ตาร้ายเสีย (อำนาจ)
ดังนั้นสัมพันธ์ระหว่าง ‘ภูมิธรรม-ทักษิณ’ จึงยาวนาน การส่ง ‘ภูมิธรรม’ มานั่ง รมว.กลาโหม ในแง่หนึ่งก็เพื่อมา ‘ระวังหลัง’ ให้กับ ‘นายกฯ แพทองธาร’ ในการเฝ้าระวัง ‘กองทัพ’ แม้ว่า ‘ทักษิณ’ จะมองว่า ‘รัฐประหาร’ จะไม่มีแล้ว เพราะไม่มี ‘Circle’ แล้วก็ตาม
แต่ในอีกนัยยะ ‘ทักษิณ’ ก็ทราบดีถึง ‘ดุลอำนาจ’ ภายในกองทัพที่เปลี่ยนไปในช่วง 6-7 ปีมานี้ แม้จะออกตัวไม่ยุ่ง ‘กองทัพ’ เพราะไม่ใช่ ‘หน้าที่’ แต่กลับมีกระแสข่าวตีคู่มาว่ามี ‘บิ๊กทหาร’ เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งสุดท้ายแล้ว ‘ทักษิณ’ ก็ต้องประเมินให้ถูกต้อง ว่าใครคือ ‘ตัวจริง’ เพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาล และรักษา ‘สมดุลอำนาจ’ ระหว่าง ‘รัฐบาล-กองทัพ’
ตาดีได้ ตาร้ายเสีย !!