ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติรับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ ในความผิดฐานฟอกเงิน ไม่ใช่เรื่องการได้มาซึ่ง สว. โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 11 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง และงดออกเสียง 3
โดย ภูมิธรรม ระบุว่า ที่ประชุมถกเถียงกันหลายประเด็น แต่ย้ำว่าการพิจารณาทั้งหมดเป็นไปตามหลักการของกฎหมาย เนื่องจากที่ประชุมเห็นว่าคำร้องดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่เข้าข่ายการทำผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งสอดคล้องกับการได้มาซึ่ง สว. ด้วยการใช้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้เลือกหรือไม่เลือก
ย้ำว่าการพิจารณาครั้งนี้ ผ่านความเห็นชอบของผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหลากหลาย ไม่ใช่การตัดสินใจแทนคนใดคนหนึ่ง ทุกอย่างเป็นไปตามกฏหมายทั้งหมด ส่วนการตรวจสอบเรื่องการเลือกตั้งและการได้มาซึ่ง สว. เป็นหน้าที่ของ กกต. ดีเอสไอ มีอำนาจแค่ตรวจสอบและเอาผิดเกี่ยวกับคดีอาญาตามกฎหมายของคดีพิเศษเท่านั้น
ดังนั้น กกต. และ ดีเอสไอ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน และหากเราไม่รับไว้ตรวจสอบก็จะเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และส่งผลเสียต่อประชาชนได้ ย้ำว่าเราไม่ได้แตกแยกกับ กกต. ยังทำงานร่วมกันได้
เมื่อถามว่ามีความหนักใจหรือไม่ เมื่อถูกนำไปโยงกับประเด็นทางการเมือง ภูมิธรรม ยอมรับว่า คณะกรรมการทุกคนมีความหนักใจ แต่ทุกท่านใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบแล้ว ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของบุคคล หรือเรื่องการเมือง เพราะสุดท้ายเรื่องนี้ต้องให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด


ด้าน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า ขั้นตอนหลังจากดีเอสไอจะจัดตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมา ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับความผิดฐานฟอกเงิน ยังมีข้อสงสัยว่ามีทรัพย์สินเกินกว่า 300 ล้านบาทจริงหรือไม่ ซึ่ง ดีเอสไอต้องไปดูเส้นทางการเงิน และเส้นทางบุคคลว่ามีตัวเลขเกิน 300 ล้านบาทหรือไม่ ต้องให้คณะกรรมการพิเศษเป็นผู้ชี้ขาด
ส่วนกรณีที่ สว. ออกมาแสดงความเห็นว่า การเลือกตั้ง สว. มาโดยวิธีสุจริตชอบธรรม ไม่มีความผิดตามที่กล่าวหาดีเอสไอ ต้องทำเรื่องนี้โดยละเอียดหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดการตั้งข้อสงสัยในสภา พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า สว.มีกระบวนการตรวจสอบได้อยู่แล้ว เราเคารพท่าน แต่วันนี้คณะกรรมการไม่ได้มีฐานทางการเมืองเลย และประธานในที่ประชุมได้พูดว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่กระทบกับความมั่นคง ถ้ามีการครอบงำอำนาจนิติบัญญัติ ก็จะส่งผลกระทบต่อหลายๆเรื่อง ซึ่งเราทำคดีในความผิดฐานฟอกเงิน ส่วนจะขยายไปเป็นคดีอั้งยี่หรือคดีอื่นๆ คงต้องมีการพิจารณากันอีกครั้ง และเรายินดีให้ตรวจสอบ

ทั้งนี้ หลัง ภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี แถลงข่าวเสร็จแล้ว ได้เดินไปพบกับกลุ่ม สว.สำรอง ที่นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่มาปักหลักรอฟังผลการพิจารณาที่ชั้นล่างของกระทรวงยุติธรรม พร้อมกับมอบดอกไม้และให้กำลังใจกับคณะกรรมการที่รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ

สำหรับ องค์ประชุมบอร์ดคดีพิเศษวันนี้ ในช่วงเริ่มการประชุมพบว่ามีองค์ประชุม 19 คน โดยมีผู้แจ้งลาประชุม 3 คน คือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
แต่ปรากฎว่าในการแถลงข่าว ภูมิธรรม แจ้งว่ามีองค์ประชุม 18 คน โดย 1 คน ได้แจ้งลาหลังเข้าประชุมแล้ว เนื่องจากมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศ และเมื่อสอบถามว่ากรรมการคนดังกล่าวเป็นใคร ภูมิธรรม ไม่ตอบ แต่บอกว่าเรื่องนี้คงไม่เกินความสามารถนักข่าว เช่นเดียวกับคณะกรรมการคนอื่นๆ ที่ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่าผู้ที่ลาประชุมเป็นใคร
ต่อมามีรายงานว่ากรรมการที่มาร่วมประชุม แล้วขอออกจากที่ประชุมไปก่อน คือ เพ็ชร ชินบุตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มาเซ็นชื่อเข้าร่วมประชุม แต่ไม่เข้าประชุม โดนให้เหตุผลว่าต้องเดินทางไปต่างประเทศ


