ผู้สื่อข่าวรายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในวาระ คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
โดยในคิวชี้แจงของ พิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ได้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลใหม่ถือว่าโชคดี เพราะในปัจจุบันโลกเผชิญกับสงครามการค้า ซึ่งไม่ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ใครจะเป็นผู้ชนะ สงครามการค้าเกิดขึ้นแน่นอน แต่กลับเป็นโอกาสของประเทศไทย เพราะทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน ก็มองไทยเป็นเพื่อน
และขณะนี้ การลงทุนเริ่มไหลเข้ามาในไทย ซึ่งปีที่ผ่านมามีการลงทุน ในกิจการผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) 1.5 แสนล้านบาท และเชื่อว่าภายในไม่อีกกี่ปี จะมีการลงทุนใน PCB หลายแสนล้านถึงล้านล้านบาท และส่งผลต่อให้แผงวงจรไฟฟ้าต่างๆ จะเข้ามาผลิตที่ไทย
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในไทย เพราะเรามีพลังงานที่เยอะเพียงพอและมีความเสถียร ทั้งพลังงานไฟฟ้าและน้ำ และเชื่อว่าอีกไม่นาน เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ และเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ ให้สามารถมาใช้ประเทศไทยได้
เราอยากเห็นประเทศจีนรักเรา อยากเห็นประเทศอเมริการักเรา เราเป็นตัวกลางก็จะสามารถพัฒนาประเทศได้ การลงทุน การค้าต่างๆก็มาไหลเข้ามาเรา การที่ไทยเป็นที่รักของทุกคน จะทำให้ไทยได้ประโยชน์พัฒนาประเทศตอนนี้ เราไม่อยากให้มีการโจมตีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากเกินไป ซึ่งผมก็สนิทกับทางสถานทูตจีน ก็บอกว่า อย่าทำให้จีนเป็นผู้ร้ายเลย เนื่องจากการเป็นประเทศมหาอำนาจ อยากให้ความรู้สึกคนไทยดีกับจีน จึงต้องมาคิดว่า จะมีวิธีอย่างไร ถ้าวันดีคืนดี จีนบอกไม่ซื้อทุเรียนอะไรเกิดขึ้น เราหายเป็นแสนล้าน หรือถ้าบอกว่า เขาไม่ส่งนักท่องเที่ยวมาไทย ห้ามเที่ยว เราเสียหายเป็นหลายๆ แสนล้าน อยากฝากไว้ว่า มันเป็นเรื่องเซนซิทีฟ (sensitive)
— พิชัย นริพทะพันธุ์
พิชัย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เรียก 28 หน่วยงาน มาหารือกันเพื่อหาทางออก ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ทางที่ดีที่สุด ทำอย่างไรให้สินค้านำเข้าต้องได้มาตรฐานสากลและปลอดภัยกับประชาชน โดยเป็นการกำหนดเป็นมาตรฐานที่ใช้กับทุกประเทศ ไม่ได้ใช้กับประเทศใดประเทศหนึ่ง
นอกจากนี้ จะมีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจที่จะตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้มาตรฐานหรือไม่ และดูแลป้องกันการทุ่มตลาด
สิ่งที่เราทำ ควรมีมาตรฐานและเจรจากับเขาดีๆ และผมได้นัดคุยกับจีนหลายครั้งแล้ว คงมีการเจรจาหาทางร่วมมือกัน คงเป็นลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากกว่าระหว่างไทยกับจีน รักษาน้ำใจกัน และดูว่าปริมาณอะไรที่มากเกินไป ก็ขอให้ลดลง เพื่อที่จะรักษาอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของประเทศเรา นอกจากนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าการขยายการเจรจาเขตการค้าเสรี และเจรจากับอินเดีย เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย
— พิชัย นริพทะพันธุ์
ส่วนสินค้าเกษตรนั้น กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการเชิงรุก โดยจะมีการคำนวณและคาดคะเนล่วงหน้าในแต่ละเดือนมีผลผลิตสินค้าใดออกมาบ้าง และมีขั้นตอนดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นตามที่ต้องการ ส่งผลให้สินค้าหลักทั้ง ข้าว, มันสำปะหลัง และยางพาราราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ ราคาสูงสุดในรอบ 5 ปี ข้าวเจ้า ราคาสูงสุดในรอบ 20 ปี เป็นต้น และราคาสินค้ารอง ไม่ว่าจะเป็นสัปปะรด, กระเทียม, หอมแดง ผลไม้ต่างๆ ก็มีราคาสูงขึ้นกว่าทุกปี