Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo00.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo01.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo02.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo03.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo04.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo05.jpg

‘พิชิต’ ท้าดวล 40 สว.! ยันคุณสมบัติครบ ป้อง ‘เศรษฐา’ ตั้ง รมต.ถูกต้อง

21 พ.ค. 2567 - 07:35

  • ‘พิชิต’ ยืนยันมีคุณสมบัติครบ ป้อง ‘เศรษฐา’ ตั้ง รมต.ถูกต้อง

  • ท้าดวล 40 สว.ตัวต่อตัว ลั่นไม่หวั่นไหวขอให้ศาล รธน.ตัดสิน

  • เชื่อมีกระบวนการ ‘ล้มนายกฯ’ ปัดตอบโยงอำนาจเก่าให้คิดเอาเอง

Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo00.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo01.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo02.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo03.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo04.jpg
Pichit-confirms-all-qualifications-Save-Srettha-correctly-appointed-minister-SPACEBAR-Photo05.jpg

ทำเนียบรัฐบาล (21 พฤษภาคม 2567**) พิชิต​ ชื่นบาน​ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รมต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่​ 40 สว.ร่วมลงชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ของเศรษฐา ทวีสิน** นายกรัฐมนตรี และของพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องในวันพฤหัสบดี ที่ 23 พฤษภาคมนี้

พิชิต กล่าวว่า การตั้ง รมต.ของนายกฯ เศรษฐา ไม่ได้ผิดอะไรไม่ได้ทำอะไรผิดแปลกแตกต่างจากนายกฯ คนอื่นในอดีต จึงอยากเรียนว่ามาเอาเรื่องท่านทำไม การตั้ง รมต. คนที่จะมาเป็นต้องไปกรอกคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม จากนั้นนายกฯ ต้องนำข้อมูลเหล่านี้ไปตรวจสอบตามกระบวนการบริหารราชการแผ่นดินโดยมีสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทำงานอย่างมืออาชีพ และไม่มีทางช่วยตน

เมื่อรับเอกสารบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีก็จะไปตรวจสอบ ส่งเรื่องไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมบังคับคดี มีวิธีการตรวจว่าผู้ใดทำผิดประมวลกฎหมายอาญาทุกหมวดหรือไม่​ จะมีอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากร​ เวลาที่เขาประมวลว่าใครซื่อสัตย์​ มีจริยธรรมหรือไม่​ ไม่ได้ดูเพียงสำนักงานกฤษฎีกาเพียงอย่างเดียว

“ผมจึงอยากถามและขอวิงวอนว่าไปเอาผิดนายกฯ ทำไม และไม่ควรเอาเรื่องใดๆ กับนายเศรษฐา ขอโอกาสให้นายกฯได้ทำหน้าที่ตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภาไว้ ดังนั้นโดยกระบวน ท่านไม่มีสิทธิ์ใช้ดุลยพินิจคิดเองทำเองใดๆ ทั้งสิ้น นี่ผมพูดจากใจ ผมอยู่ตรงจุดนี้ ผมพูดไม่อายผมเป็นองครักษ์พิทักษ์ท่านนายกฯ และ องครักษ์พิทักษ์พิทักหลายนายกฯ มาแล้ว ฉะนั้นต้องเอาความจริงและหัวใจมาพูดกัน ไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง ที่ผ่านมาก็ทำตามกระบวนการถ้าเห็นตั้งใครไม่ได้ก็ไม่ตั้งไปทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาล ผมไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไร มาด้วยสติปัญญาของผมและมีสมอง” พิชิต กล่าว

ส่วนประเด็นเรื่องจริยธรรม​ พิชิต​ กล่าวว่า ขอให้ไปดูช่องทางกฎหมาย​ มีคำพิพากษา​ศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐานแล้ว บ้านเมือง​มีหลักนิติธรรม​ ขอให้ไปดูว่าอยู่ช่องไหน ซึ่งตนต้องขอขอบคุณ 40  สว. ไม่ได้โกรธ และขออโหสิกรรม สว.ทั้ง 40 คน หลายคนไม่เคยศึกษาประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับตน ชีวิตตนถูกกระทำตั้งแต่ปี 2551 โหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต

ก่อนตัดสินใจเป็นรัฐมนตรี​ ตนคิดแม้กระทั่งว่าหากไปอยู่ในสภาถูกตั้งกระทู้ถาม ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนสามารถตอบคำถามได้ทุกคำถาม ตอบข้อสงสัยต่างๆ เพราะฉะนั้นการที่ตนได้มีโอกาส หลังถูกตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม​ ควรเป็นกรณีศึกษา​ แต่ถูกศาลเดียวตัดสินแล้วจบเลย​ ทั้งที่พระธรรมนูญ​ ศาลยุติธรรมบัญญัติไว้ว่าศาลมี 3 ชั้นศาลเวลานักการเมืองมีปัญหาถูกพิจารณาคดี​ ต่อสู้คดีได้ 2 ชั้นศาล  

ตนเป็นทนายความไปว่าความมีปัญหาถูกตัดสินศาลเดียวจบนี้คือความขมขื่นในหัวใจ ซึ่งตนไม่ได้โกรธอะไร​ 40 สว.​ ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ให้โอกาส และมั่นใจในหลักความเป็นธรรมของศาลรัฐธรรมนูญมีจริง ตนไม่หวั่นไหวเพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรแต่คำวินิจฉัยศาลฏีกาไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ ตนรอจังหวะยิงลูกนี้มานานแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเป็นบรรทัดฐาน จะเป็นโอกาสในชีวิตของตนที่ได้เริ่มต้นใหม่ ตอนนี้ไม่หวั่นไหวอะไร

“เพราะฉะนั้นประเด็นตามคำสั่งศาลฎีกา​ หากมีตรงไหนที่เขียนว่าผมเป็นคนที่หิ้วถุงเงิน 2 ล้านผมพร้อมลาออกวันนี้เลย​ ไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ​วินิจฉัย หลายคนว่ากล่าวติติงเป็นไอ้ทนายหิ้วถุงเงิน​ 2 ล้าน​ พูดเหมือนคนไร้สติ​ ไม่มีเหตุไม่มีผล” พิชิต กล่าว

พิชิต กล่าวต่อว่า ประเทศเป็นระบบประมวลกฎหมาย หากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ​ ย่อมไม่มีอำนาจการไต่สวนวิธีพิจารณา เรื่องละเมิดอำนาจศาล​ ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก ในคดีอาญา​ก็ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นหลัก​ อะไรที่กฎหมายพิจารณาความอาญาไม่บัญญัติไว้ ก็จะบอกให้เอาวิธีพิจารณาความแพ่งใช้บังคับโดยอนุโลม

เช่นเดียวกัน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และอาญา​ไม่เคยบัญญัติว่าให้เอาประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายสาระบัญญัติ มาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี ถ้าหาแล้วมีว่าให้เอามาตรา 83 มาใช้ ตนจะลาออกวันนี้เช่นกัน นี่คือความเก็บกดที่ตนโหยหาความยุติธรรม

พิชิต​ ยังกล่าวอีกว่า​ ในวันที่ตนเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่ง เคยบอกกับสื่อมวลชนว่าตัวเบาหวิว หมายถึงใจมันว่าง เพราะนามสกุลชื่นบาน ตนก็ทำงานพร้อมขอให้ไปดูคำสั่งของศาลฎีกา

“ผมติดใจ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มาทั้งชีวิต ตั้งแต่ปี 2551 เอามาเขียนใส่ได้อย่างไร เพราะผมไม่ได้มีการกระทำอะไรเลยในการถือเงิน และในคำสั่งศาลฎีกามีอยู่คำหนึ่ง ระบุว่า ผมน่าจะรู้ ซึ่งถือเป็นข้อสงสัย เหตุใดจึงไม่ยกประโยชน์ให้จำเลย แค่น่าจะก็ขังผมแล้ว จึงคาใจคดีอาญา และขังเต็มพิกัด 6 เดือน ซึ่งมองว่าเป็นเพียงสมมติฐาน คิดเอาเองไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน ว่าพิชิตถือถุงเงิน ก็ไปตั้งข้อสันนิษฐานกัน วันนี้จะอยู่หรือจะไปไม่ได้ยึดติดอะไร ผมต่อสู้กระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในชีวิต”

พิชิต กล่าวว่า ตนเป็น สส.มา 2 ปี 6 เดือน รัฐธรรมนูญมีการเขียนเกี่ยวกับการถอดถอนเรื่องจริยธรรม คนที่ไม่ชอบและหมั่นใส้ตนทำไมไม่ยื่นตอนนั้น และตนเห็นว่าการตรวจสอบเรื่องจริยธรรมต้องเริ่มตอนรับตำแหน่ง แล้วมาบังคับใช้กับตนตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี ดูให้ดีพวก 40 สว.ที่ยื่น ตนเรียนกฎหมายรู้ดูกฎหมายเป็น ส่วนเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตอยากถามว่าวัดกันตรงไหน ถามกฤษฎีกาก็ตอบไม่ได้ 

ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมไม่ตั้งคำถามประเด็นนี้กับกฤษฎีกาเพราะต้องการช่วยตน ขอเรียนว่าถามไปก็ตอบไม่ได้ และที่ตนโดนศาลฎีกาว่าคำว่า “น่าจะ” อยากถามว่าเป็นที่ประจักษ์แค่ไหน และอยากให้ไปดูในชั้นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 60 มีคนเคยพูดประเด็นนี้ แต่ไม่อยากเอ่ยชื่อว่าเป็นใครเพราะเขายังรับราชการอยู่ บอกว่าหากใส่เรื่องซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักจะทำให้เกิดการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง เพราะเรื่องนี้เป็นนามธรรมวัดไม่ได้ 

ตนจึงบอกว่าอย่าไปส่งไหนหนังสือกฤษฎีกาที่หลุด และ สลค. และนายกฯก็สงสัย ที่ตนต้องโทษมามันคือโทษอะไร มีคำพิพากษาศาลฎีกามากมายระบุว่าโทษที่ตนได้รับเป็นมาตรการทางแพ่งเป็นเรื่องความสงบในบริเวณศาล ไม่ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา สอดคล้องคำที่กฤษฎีกาวินิจฉัย ที่ต้องโทษว่าเป็นคำสั่งซึ่งต่างจากคำพิพากษา ซึ่งถือว่าชัดเจนว่าตนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม

“นายกฯไม่มีอะไรผิดเลย มันเป็นวาระเป็นวงจรอุบาทว์ ท่านบริหารประเทศดีดี มาทำให้เกิดการกระทำแบบนี้ให้ผู้นำประเทศต้องออกจากตำแหน่ง ผมมีเพื่อนในสว. รู้เห็นการกระทำ ผมก็ขอความเป็นธรรมไปพูดกันดีดีก่อนจะมีการยื่นผมรู้มีพฤติกรรมอย่างไร คนของใครทำอะไรผมขอไม่พูด ขอขอบคุณ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายวันชัย สอนศิริ สว. ที่ออกมาพูดเรื่องจริง และยืนยันข้อกฎหมายว่าไม่ผิดด้วย” พิชิต กล่าว

ส่วนข่าวลือเรื่องลาออกจากตำแหน่ง​ พิชิต กล่าวยืนยันว่า ไม่ยึดติดผลประโยชน์​ของตน​ ยึดมั่นของรัฐธรรมนูญ​มาตรา​ 164  ว่า ตนเป็นรัฐมนตรีต้องซื่อสัตย์สุจริต​ คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ตนมาทำงานไม่ได้มาโกง​ เพราะฉะนั้นคำตอบแก้วงจรอุบาทว์ _ถ้ามองว่าพิชิตลาออกแล้วทุกอย่างจบ ตนก็จะทำให้ ขอพูดต่อหน้าพระสยามเทวาธิราช ในองคาพยพกระบวนการยุติธรรม ให้ไปคิดมาโจทย์ที่เกิดวงจรอุบาทว์​ นี่เป็นเกมการเมืองที่พยายามล้มนายเศรษฐา_​ 

เมื่อถามต่อว่าหากลาออกแล้วจะทำให้นายเศรษฐาสามารถอยู่ต่อได้จะทำหรือไม่​ พิชิต​ กล่าวว่า​ อันนี้ตนถึงบอกว่ามีเงื่อนไข​ เพราะวงจรอุบาทว์​เล่นแบบนี้​ วันนี้บ้านเมืองปกติ​ มีนายกฯ​แล้วทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิง​ไม่มีนายกฯ​ พร้อมกับยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ นายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด เราไม่อยากทำให้นายกรัฐมนตรีหนักใจ

เมื่อถามว่าจะไม่ลาออกก่อนถึงวันที่ 23 ใช่หรือไม่ พิชิต กล่าวว่า _บางคนก็อยากให้ผมอยู่ บางคนก็อยากให้ผมออก แต่ผมอยากจะขอโยนโจทย์ไปว่าบ้านเมืองผมไม่ได้ดูแลคนเดียว ผมจึงใช้คำว่าวงจรอุบาทว์_​  พร้อมขอให้มาดวลกับพิชิตคนเดียว​ เอานักกฎหมายมา 3 คน​ และ​ 40 สว.​ แบบตัวต่อตัว​ ที่ลงชื่อไปอ่านคำสั่งศาลฎีกาแล้วหรือไม่​ และไม่ขอก้าวล่วงไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังของ 40 สว.แต่มีกระบวนการ​ 

เมื่อถามว่าเป็นกระบวนการ ต้องการล้มนายกฯใช่หรือไม่ พิชิต กล่าวว่า ตนไม่ขอกล่าวหาแต่ข้อมูลเป็นเช่นนั้น

เมื่อถามอีกว่าที่ระบุว่าวงจรอุบาทว์อาจเป็นกลุ่มอำนาจเก่า พิชิต กล่าวว่า ตนไม่ขอตอบคำถามนี้ให้ท่านพิจารณาเอาเอง มันมีกระบวนการอย่างนี้จริง เพราะถ้าติดใจเรื่องคุณสมบัติก็ยื่นตนคนเดียว

เมื่อถามว่าจะอยู่ในตำแหน่งจนกว่าศาลจะสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือศาลจะมีคำสั่งอะไรใช่หรือไม่ พิชิต กล่าวว่าตนเคารพดุลยพินิจศาลตรงไปตรงมา สิ่งที่ตนพูดเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ยิน

เมื่อถามว่าหลายฝ่ายมองว่าหากนายพิชิตออกแล้วทุกอย่างจะยังไม่จบเพราะความผิดสำเร็จแล้ว พิชิต กล่าวว่า อันนั้นเป็นประเด็นเรื่องข้อกฎหมาย อย่าไปคิดเรื่องความผิดสำเร็จอะไร

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์