‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.ของพรรค แถลงหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของ ‘พิธาและพรรคก้าวไกล’ เข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง โดย ‘ชัยธวัช‘ แถลงข่าวเป็นภาษาไทย และ ‘พิธา’ แถลงข่าวเป็นภาษาอังกฤษ

‘ชัยธวัช’ ยืนยันว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้มีเจตนา เพื่อเซาะกร่อนบ่อนทำลาย หรือ แยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากชาติแต่อย่างใด นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังกังวลว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองไทยในระยะยาวด้วย เช่น อาจกระทบความสัมพันธ์ทางอำนาจ ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต อาจกระทบต่อความเข้าใจและการให้ความหมายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลักการสำคัญของระบอบการเมืองไม่มีความชัดเจนแน่นอน สิ่งที่เคยกระทำได้ในอดีต อาจกลายเป็นการล้มล้างการปกครองได้ในปัจจุบันและอนาคต และอาจจะกระทบเรื่องสำคัญอีก เช่น การตีความว่า อะไรคือการล้มล้างการปกครอง อาจจะเกิดปัญหาที่พวกเราเข้าใจหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนแน่นอนไม่ตรงกัน มีความคลุมเครือทั้งในแง่การตีความข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และเจตนา คำวินิจฉัยในวันนี้ อาจจะก่อให้เกิดปัญหาดุลยภาพระหว่างประชาธิปไตยกับสถาบันในระบอบการเมืองไทยในอนาคต อาจจะทำให้สังคมไทยสูญเสียโอกาสในการใช้ระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยในการหาข้อยุติ ความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกันในสังคมในอนาคต สุดท้ายคำวินิจฉัยในวันนี้ อาจส่งผลกระทบให้ประเด็นเรื่องสถาบัน กลายเป็นปมปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อสถาบันเสียเอง ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลขอขอบคุณทุกกำลังใจจากประชาชนที่ส่งมาให้พวกเราตลอด หลังมีการอ่านคำวินิจฉัย แต่อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยในวันนี้ จะไม่ได้กระทบเฉพาะพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่จะกระทบต่อความเป็นประชาธิปไตยของประเทศและสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ไม่ใช่ของพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องของอนาคตของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข

เมื่อถามว่า การดำเนินคดีทางการเมืองในฐานะบุคคล เตรียมการหลังจากนี้อย่างไร ‘ชัยธวัช’ กล่าวว่า ตอนนี้พรรคคงต้องรอคำวินิจฉัย ส่วนจะต่อสู้อะไรหลังจากนี้นั้น ‘ชัยธวัช’ กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่า เป็นที่สุดแล้ว โต้แย้งไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไร แต่ก็ไม่ประมาท
เมื่อถามว่า กังวลว่า จะถูกยุบพรรคซ้ำรอยพรรคอนาคตใหม่ หรือไม่ ‘ชัยธวัช’ กล่าวว่า ยังไม่ไปถึงตรงนั้น แต่ขั้นตอนต่อไปต้องรอเอกสารคำวินิจฉัยตัวเต็ม เพื่อรับมือในทางกฎหมายที่เกิดขึ้นได้

เมื่อถามว่า มีการพูดถึงพฤติกรรมของ คนที่ลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไข ม.112 กรณี สส.ประกันตัวผู้ถูกดำเนินคดี ม.112 และ สส.ที่ถูกดำเนินคดี ม.112 เรายอมรับว่า มีขบวนการนี้ในพรรคก้าวไกลจริงหรือไม่ ‘ชัยธวัช’ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เรามีความกังวลต่อคำวินิจฉัยที่บอกว่า ทำให้เกิดความไม่ชัดเจน ทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายรวมถึงเจตนา ยกตัวอย่างเช่น การบอกว่า การที่มี สส.พรรคก้าวไกลไปประกันตัวผู้ที่ถูกดำเนินคดี ม.112 ถือว่าเป็นองค์ประกอบเพื่อบอกว่าเรามีเจตนาล้มล้างการปกครอง มันก็มีปัญหา เช่นนั้น เท่ากับว่า หลักเกณฑ์ตามกฎหมายซึ่งรับรองในรัฐธรรมนูญที่บอกว่า หลักที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อน ไม่ว่าจะถูกกล่าวหาข้อหาอะไร บุคคลใดก็ต้องถูกกล่าวหาไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างนี้ มันก็ทำให้ขัดกัน และการประกันตัวผู้ต้องหา ไม่ว่าจะข้อหาใด เป็นการใช้สิทธิ์กระบวนการยุติธรรมของทุกคนไม่ได้มีข้อยกเว้น เช่นนี้ผู้พิพากษาที่วินิจฉัยให้ถูกกล่าวหาในการกระทำผิดมาตรา 112 ถือเป็นผู้ร่วมกระทำล้มล้างการปกครองไปด้วยหรือไม่ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบตามหลักเกณฑ์ตีความ ความไม่ชัดเจนแน่นอนในการใช้กฎหมาย
“ตอนนี้ก็มีปัญหา คำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสอง เลิกแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายมาตรา 112 อันนี้ หมายความว่า หลังจากนี้พรรคก้าวไกล จะต้องห้ามพูดเรื่องมาตรา 112 อย่างสิ้นเชิงหรือไม่อย่างไร หรือพูดได้อย่างเดียวคือ การสนับสนุนให้เพิ่มโทษมาตรา 112 หรือไม่ อย่างไร นี่ยังไม่นับว่า ต่อไปสื่อมวลชน นักวิชาการ จะแสดงความคิดเห็นต่อมาตรา 112 ไม่ได้หรือไม่ หรือแสดงแบบไหนถือว่า ผิด สมมติว่า มีการแสดงความคิดเห็นว่า ควรปรับปรุงมาตรา 112 ก็อาจจะมีการตีความว่า มีเจตนาเพื่อนำไปสู่การล้มล้าง” ชัยธวัช กล่าว

เมื่อถามว่า มีการประเมินว่า สส.44 คนที่เสนอร่างกฎหมายแก้ ม. 112 จะอาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ‘ชัยธวัช’ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นและมองว่าการดำเนินการใดๆ ที่เกินสมควร ยืนยันว่าจะทำให้ประเด็นสถาบันกลายเป็นปมปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งพรรคก้าวไกล เรามีเจตนาที่จะยุติ ลดการนำประเด็นเรื่องการนำสถาบันมาเป็นความขัดแย้งในสังคมเพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ข้อเสนอของ สส.ของพรรคก้าวไกล ก็ด้วยเจตนาเช่นเดียวกัน มีเจตนาที่จะไม่ทำให้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือทางการเมืองทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่เปิดช่องให้ใครผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับตัวเองและอาศัยความจงรักภักดีนั้น แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างปฎิเสธไม่ได้และเป็นส่วนหนึ่งของวันนี้ เรามีเจตนาไม่ใช่อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
‘ชัยธวัช’ กล่าวอีกว่า ถ้าศาลบอกว่า การมีนโยบายหาเสียงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เป็นการลดสถานะของสถาบันเข้ามาอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง ให้มาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนผ่านการเลือกตั้ง คำถามของตนเองคือพรรคการเมืองที่รณรงค์หาเสียงว่า ตนเองเป็นผู้จงรักภักดี แต่อีกพรรคหนึ่งไม่จงรักภักดี หรือโจมตีว่า อีกพรรคหนึ่งมีเจตนาเป็นลบต่อพระมหากษัตริย์ หรือมีการขึ้นรูปพระราชวงศ์ในเวทีหาเสียง ถือว่า เป็นการลดทอน บ่อนเซาะทำลาย ทำให้สถาบันไม่อยู่ในสถานะเป็นกลางทางการเมืองหรือไม่

ด้าน ‘พิธา’ กล่าวทิ้งท้าย ยืนยันเจตนาว่า บริสุทธิ์ใจ ไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่มีความตั้งใจที่จะแยกสถาบันออกจากความมั่นคงของชาติ ยอมรับว่า มีความกังวล 2-3 เรื่องคือ นิยามของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรย์เป็นประมุข โดยกังวลขอบเขตระหว่างนิติบัญญัติและศาลรัฐธรรมนูญว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และเรื่องสำคัญทางนิติรัฐนิติธรรม การสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน สิทธิในการเข้าถึงการประกันตัว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องของตนเองคนเดียว ไม่ใช่เรื่องชะตากรรมของพรรคก้าวไกล แต่เป็นเรื่องอนาคตของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย เป็นสิ่งที่รู้สึกเสียดายว่า เรามีโอกาสที่จะออกจากความขัดแย้ง ที่อาจจะมีคนทำเอาสถาบันมาอยู่ในความขัดแย้ง แล้วใช้รัฐสภานี้ที่ไม่มีใครสามารถผูกขาดความคิดได้ว่าควรเป็นลักษณะไหนแล้วเรามาหานิยามร่วมกัน แต่ตอนนี้ก็เป็นนิยามที่ออกมาจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องดูรายละเอียดและกลับมาหารือกันอีกครั้งว่า จะเดินหน้ากันต่ออย่างไร