‘8 พรรค’ จับมือแถลงตั้งรัฐบาลประชาชน ดัน ‘พิธา’เป็นนายกฯ คนที่ 30 ด้าน ‘พิธา’ มั่นใจตั้งรัฐบาลได้แน่ ไร้กังวลเสียง ส.ว. พร้อมยึดฤกษ์ 22 พ.ค.66 แถลงร่าง MOU ขณะจุดยืนพรรคร่วมยังเห็นต่างปมแก้ ม.112 ส่วน ‘ชลน่าน’ บอกเพื่อไทยชัดวันแถลง MOU
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยแกนนำอีก 7 พรรคการเมือง ประกอบด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ,วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ,คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ,พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ,ปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม , วสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทรวมพลัง และเชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ ร่วมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน ทำให้ขณะนี้มีพรรคร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลรวมทั้งสิ้น 8 พรรค มีว่าที่ ส.ส. ทั้งหมด 313 เสียง
พิธา กล่าวว่า วันนี้เป็นการแถลงจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน ทั้ง 8 พรรคการเมือง มีจำนวนผู้แทนราษฎรรวมกันทั้งสิ้น 313 คน พวกเขาขอขอบคุณทุกเสียงของประชาชน เป็นเสียงแห่งความหวัง เป็นเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของประชาชนและจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน ทุกพรรคขอประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนร่วมกัน ดังนี้
“1. ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากจากผลการเลือกตั้งของประชาชน 2. ทุกพรรคจะร่วมกันจัดทำข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแสดงถึงแนวทางการทำงานร่วมกัน และวาระร่วมของทุกพรรค และจะแถลงต่อสาธารณะในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ 3. ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้แบบไร้รอยต่อ” พิธา กล่าว
พิธา ยังมั่นใจว่า ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งได้ตั้งคณะทำงาน 2 คณะ คือคณะเจรจา และคณะเปลี่ยนผ่าน ที่ได้วางแผนหลายรูปแบบ ว่าจะบริหารจัดการในแต่ละสถานการณ์อย่างไร เชื่อว่า จะช่วยลดความเสี่ยงในการจัดตั้งรัฐบาลได้ ส่วนจะรวมเสียง โดยเฉพาะเสียงของ ส.ว. ได้เท่าไหร่นั้นขอให้เป็นหน้าที่ของคณะทำงาน มั่นใจว่า การจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นไปด้วยดี ซึ่งส่วนตัวไว้วางใจคณะทำงาน แม้จะมีหลายสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง แต่จะพยายามหากรอบ เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ขอทุกคนอย่ากังวลใจ ยืนยัน พรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ยังเหนียวแน่น และสามารถร่วมงานกันเป็นทีมได้ ขณะที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ยังไม่ได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดี
ส่วนเงื่อนไขมาตรา 112 นั้น พิธา กล่าวว่า ก่อนเลือกตั้งได้พูดคุยเรื่องนี้มากพอแล้ว เชื่อทุกพรรคมีจุดยืนร่วมกันแล้ว และมีความชัดเจน มีเอกภาพ จึงไม่มีเรื่องอะไรน่าห่วง
ขณะที่การจัดสรรตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น พิธา กล่าวว่า การพูดคุยขณะนี้ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่ยึดเอาวาระของประชาชน และนโยบายของแต่ละพรรคเป็นตัวตั้ง ในการทำงานร่วมกันอย่างเป็นองคาพยพให้สามารถเดินต่อไปได้ และยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดเรื่องนี้ แต่จะมีการพูดคุยหลังจากนี้ เพราะถ้าเอาเรื่องกระทรวงขึ้นมาเป็นตัวตั้งแล้วประชาชนจะคิดอย่างไร
ด้าน นพ.ชลน่าน ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนพรรคก้าวไกล เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงสนับสนุนให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย และร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแห่งความหวัง ความฝันให้ประชาชน จะเป็นครั้งที่ร้อย ครั้งที่ห้าร้อยก็ยืนยัน เพราะมีคนปั่นกระแสตรงนี้เยอะเหลือเกิน
นพ.ชลน่าน กล่าวถึงแนวทางการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลว่า ทุกเรื่องจะนำมาประกอบทั้งหมด อีกทั้งเงื่อนไขหลักยกเป็นหน้าที่ให้พรรคก้าวไกลเป็นผู้เสนอ ส่วนจุดใดร่วมกันได้ไม่ได้ หรือจุดใดต้องแก้ไข คงจะต้องมีการหารือกันก่อน ส่วนประเด็นมาตรา 112 ที่หลายคนมองจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่คงจะมีการพูดคุยกัน แต่หากมีการลงนามข้อสรุปกันแล้ว ถือว่าทุกคนทุกพรรคเห็นทางออกร่วมกันได้
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังยืนยันว่า จะทำภารกิจให้สำเร็จคือการผลักดันคะแนนเสียงในรัฐสภาให้ถึง 376 เสียง ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพรรคใดพรรคหนึ่ง เราต้องช่วยกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีของประชาชน
ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ยืนยันในหลักการของพรรคไทยสร้างไทยว่า จะสนับสนุนพรรคที่ได้รับเสียงจากประชาชนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง รวมถึงสนับสนุนให้พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนข้อตกลงนั้น ยังไม่เริ่มนับหนึ่งพูดคุยกัน ซึ่งคาดว่า หลังจากวันนี้คงจะได้พูดคุยกัน ตั้งคณะทำงานร่วมกัน ก่อนยืนยันว่าพรรคไทยสร้างไทยมองการทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการต่อรองตำแหน่ง หรือกระทรวงใด
ส่วนประเด็น ม.112 ได้พูดชัดเจนในทุกเวทีว่า หน้าที่ทุกพรรคการเมืองคือต้องปกป้องสถาบัน การที่ผู้มีอำนาจมาใช้ประเด็น ม.112 มากลั่นแกล้งหรือทำร้ายบุคคล ก็คงต้องพิจารณา ซึ่งเรายืนยันว่า ปกป้องสถาบัน แต่ไม่ให้นำ ม.112 มาใช้เป็นเครื่องมือรังแกและทำร้ายประชาชน ดังนั้น จึงต้องคุยกันในมาตรานี้
ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ กล่าวว่า ตนจะไปเปลี่ยนคำพูดหรือไปคิดอย่างอื่นคงเป็นไปไม่ได้ ก็ยืนยันตามเจตนารมณ์ของตนและพี่น้องประชาชนให้พรรคเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น พรรคเสรีรวมไทยสนับสนุนพรรคก้าวไกลและให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี
ด้านวันมูฮะหมัดนอร์ ระบุว่า พรรคประชาชาติเคารพในเสียงประชาธิปไตยของประชาชนทุกคน การเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค.66 ประชาชนให้ความไว้วางใจพรรคก้าวไกล มีเสียงข้างมากที่สุด พรรคประชาชาติจึงขอสนับสนุนพิธาจัดตั้งรัฐบาล และยินดีให้ความร่วมมือทุกประการในการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนให้สำเร็จ และอยากจะเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้ให้ความเคารพการตัดสินใจของประชาชนในประเทศนี้ ถ้าไม่เคารพการตัดสินใจประชาชน ก็จะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ถ้าเราไม่รักประชาชน ปัญหาเดิมๆก็จะกลับมา วันที่ 22 พ.ค.66 จะเห็นแสงก้าวไปข้างหน้า จึงขอฝากความหวังให้กับทุกคน
ปิติพงศ์ กล่าวว่า พรรคเป็นธรรมเป็นพรรคใหม่ ที่มีอุดมการณ์เน้นการทำการเมืองใหม่ที่สร้างสรรค์ จึงขอบคุณทุกเสียงที่มอบให้กับพรรคเป็นธรรม เป็น 1 เสียงที่มีค่า พรรคเป็นธรรมสนับสนุนมติประชาชนที่มอบให้พรรคก้าวไกลนำโดยพิธา ดังนั้น พรรคเป็นธรรมจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่มีข้อต่อรองทางการเมือง ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ประชาชนมอบให้ ซึ่งจะต้องพูดคุยเรื่อง ม.112 ที่จะพิจารณาใน MOU ด้วย
เชาวฤทธิ์ กล่าวว่า ตนมองเห็นเสียงของพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง ขอให้เรามาลดความขัดแย้ง และสร้างประเทศไทยและสังคมใหม่ด้วยกัน โดยให้ พิธา เป็นนายกฯคนที่ 30
นพ.ชลน่าน กล่าวย้ำในช่วงท้ายว่า หลายเรื่องเป็นประเด็นที่ต้องพูดคุยกัน เราจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล กลไกที่สำคัญที่สุด ก็คือตัวข้อตกลงร่วมหรือ MOU หลายเรื่องเป็นประเด็น ต้องเจรจาพูดคุยกัน ซึ่งจะอยู่ใน MOU ฉะนั้น ในวันที่ 22 พ.ค.จะเป็นวันที่บอกว่า พวกเราจะร่วมมือกันอย่างไร บนพื้นฐานว่าเราจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล อะไรที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่สามารถตกลงพูดคุยกันได้ ต้องพูดให้จบใน MOU แต่ถ้าไม่จบ ต้องมีทางออก เช่น ประเด็นอ่อนไหว หากยังไม่มีข้อตกลงร่วม เราก็จะแถลงว่า เราจะมีกลไกในการดำเนินการเรื่องนั้นได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ม.112 ที่ต่างฝ่ายต่างมีความเห็นต่างกันเยอะ ถ้าอะไรที่เห็นร่วมกันก็ไปได้เลย แต่อะไรที่เห็นต่างมาก ก็จะมาคุยกันเพื่อหาทางออกและวิธีการดำเนินการเรื่องนั้นอย่างไร เพื่อจะทำงานในฐานะที่เป็นรัฐบาล วันที่ 22 พ.ค.จึงจะมีความสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นที่ทุกคนห่วงใย พรรคเพื่อไทยก็จะมีคำตอบเรื่องนั้นเช่นกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามนายพิธาว่า นโยบายเงินดิจิทอล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทยจะนำไปพูดคุยและนำไปกำหนดใน MOU หรือไม่นั้น นายพิธา ระบุว่า ก็จะต้องพูดคุย เพราะเป็นของทางเศรษฐกิจที่จะต้องพูดคุยเรื่องงบประมาณ ก่อนที่จะทำ MOU
อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตว่า การลงนาม MOU ดังกล่าว ในวันที่ 22 พ.ค. 2566 นี้ ซึ่งตรงกับวันทำรัฐประหารเมื่อปี 2557 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมา 9 ปี แล้ว
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยแกนนำอีก 7 พรรคการเมือง ประกอบด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ,วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ,คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ,พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ,ปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม , วสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทรวมพลัง และเชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ ร่วมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน ทำให้ขณะนี้มีพรรคร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลรวมทั้งสิ้น 8 พรรค มีว่าที่ ส.ส. ทั้งหมด 313 เสียง
พิธา กล่าวว่า วันนี้เป็นการแถลงจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน ทั้ง 8 พรรคการเมือง มีจำนวนผู้แทนราษฎรรวมกันทั้งสิ้น 313 คน พวกเขาขอขอบคุณทุกเสียงของประชาชน เป็นเสียงแห่งความหวัง เป็นเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของประชาชนและจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน ทุกพรรคขอประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนร่วมกัน ดังนี้
“1. ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากจากผลการเลือกตั้งของประชาชน 2. ทุกพรรคจะร่วมกันจัดทำข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแสดงถึงแนวทางการทำงานร่วมกัน และวาระร่วมของทุกพรรค และจะแถลงต่อสาธารณะในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ 3. ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้แบบไร้รอยต่อ” พิธา กล่าว
พิธา ยังมั่นใจว่า ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งได้ตั้งคณะทำงาน 2 คณะ คือคณะเจรจา และคณะเปลี่ยนผ่าน ที่ได้วางแผนหลายรูปแบบ ว่าจะบริหารจัดการในแต่ละสถานการณ์อย่างไร เชื่อว่า จะช่วยลดความเสี่ยงในการจัดตั้งรัฐบาลได้ ส่วนจะรวมเสียง โดยเฉพาะเสียงของ ส.ว. ได้เท่าไหร่นั้นขอให้เป็นหน้าที่ของคณะทำงาน มั่นใจว่า การจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นไปด้วยดี ซึ่งส่วนตัวไว้วางใจคณะทำงาน แม้จะมีหลายสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง แต่จะพยายามหากรอบ เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ขอทุกคนอย่ากังวลใจ ยืนยัน พรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ยังเหนียวแน่น และสามารถร่วมงานกันเป็นทีมได้ ขณะที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ยังไม่ได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดี
ส่วนเงื่อนไขมาตรา 112 นั้น พิธา กล่าวว่า ก่อนเลือกตั้งได้พูดคุยเรื่องนี้มากพอแล้ว เชื่อทุกพรรคมีจุดยืนร่วมกันแล้ว และมีความชัดเจน มีเอกภาพ จึงไม่มีเรื่องอะไรน่าห่วง
ขณะที่การจัดสรรตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น พิธา กล่าวว่า การพูดคุยขณะนี้ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่ยึดเอาวาระของประชาชน และนโยบายของแต่ละพรรคเป็นตัวตั้ง ในการทำงานร่วมกันอย่างเป็นองคาพยพให้สามารถเดินต่อไปได้ และยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดเรื่องนี้ แต่จะมีการพูดคุยหลังจากนี้ เพราะถ้าเอาเรื่องกระทรวงขึ้นมาเป็นตัวตั้งแล้วประชาชนจะคิดอย่างไร
ด้าน นพ.ชลน่าน ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนพรรคก้าวไกล เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงสนับสนุนให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย และร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแห่งความหวัง ความฝันให้ประชาชน จะเป็นครั้งที่ร้อย ครั้งที่ห้าร้อยก็ยืนยัน เพราะมีคนปั่นกระแสตรงนี้เยอะเหลือเกิน
นพ.ชลน่าน กล่าวถึงแนวทางการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลว่า ทุกเรื่องจะนำมาประกอบทั้งหมด อีกทั้งเงื่อนไขหลักยกเป็นหน้าที่ให้พรรคก้าวไกลเป็นผู้เสนอ ส่วนจุดใดร่วมกันได้ไม่ได้ หรือจุดใดต้องแก้ไข คงจะต้องมีการหารือกันก่อน ส่วนประเด็นมาตรา 112 ที่หลายคนมองจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่คงจะมีการพูดคุยกัน แต่หากมีการลงนามข้อสรุปกันแล้ว ถือว่าทุกคนทุกพรรคเห็นทางออกร่วมกันได้
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังยืนยันว่า จะทำภารกิจให้สำเร็จคือการผลักดันคะแนนเสียงในรัฐสภาให้ถึง 376 เสียง ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพรรคใดพรรคหนึ่ง เราต้องช่วยกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีของประชาชน
ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ยืนยันในหลักการของพรรคไทยสร้างไทยว่า จะสนับสนุนพรรคที่ได้รับเสียงจากประชาชนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง รวมถึงสนับสนุนให้พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนข้อตกลงนั้น ยังไม่เริ่มนับหนึ่งพูดคุยกัน ซึ่งคาดว่า หลังจากวันนี้คงจะได้พูดคุยกัน ตั้งคณะทำงานร่วมกัน ก่อนยืนยันว่าพรรคไทยสร้างไทยมองการทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการต่อรองตำแหน่ง หรือกระทรวงใด
ส่วนประเด็น ม.112 ได้พูดชัดเจนในทุกเวทีว่า หน้าที่ทุกพรรคการเมืองคือต้องปกป้องสถาบัน การที่ผู้มีอำนาจมาใช้ประเด็น ม.112 มากลั่นแกล้งหรือทำร้ายบุคคล ก็คงต้องพิจารณา ซึ่งเรายืนยันว่า ปกป้องสถาบัน แต่ไม่ให้นำ ม.112 มาใช้เป็นเครื่องมือรังแกและทำร้ายประชาชน ดังนั้น จึงต้องคุยกันในมาตรานี้
ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ กล่าวว่า ตนจะไปเปลี่ยนคำพูดหรือไปคิดอย่างอื่นคงเป็นไปไม่ได้ ก็ยืนยันตามเจตนารมณ์ของตนและพี่น้องประชาชนให้พรรคเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น พรรคเสรีรวมไทยสนับสนุนพรรคก้าวไกลและให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี
ด้านวันมูฮะหมัดนอร์ ระบุว่า พรรคประชาชาติเคารพในเสียงประชาธิปไตยของประชาชนทุกคน การเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค.66 ประชาชนให้ความไว้วางใจพรรคก้าวไกล มีเสียงข้างมากที่สุด พรรคประชาชาติจึงขอสนับสนุนพิธาจัดตั้งรัฐบาล และยินดีให้ความร่วมมือทุกประการในการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนให้สำเร็จ และอยากจะเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้ให้ความเคารพการตัดสินใจของประชาชนในประเทศนี้ ถ้าไม่เคารพการตัดสินใจประชาชน ก็จะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ถ้าเราไม่รักประชาชน ปัญหาเดิมๆก็จะกลับมา วันที่ 22 พ.ค.66 จะเห็นแสงก้าวไปข้างหน้า จึงขอฝากความหวังให้กับทุกคน
ปิติพงศ์ กล่าวว่า พรรคเป็นธรรมเป็นพรรคใหม่ ที่มีอุดมการณ์เน้นการทำการเมืองใหม่ที่สร้างสรรค์ จึงขอบคุณทุกเสียงที่มอบให้กับพรรคเป็นธรรม เป็น 1 เสียงที่มีค่า พรรคเป็นธรรมสนับสนุนมติประชาชนที่มอบให้พรรคก้าวไกลนำโดยพิธา ดังนั้น พรรคเป็นธรรมจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่มีข้อต่อรองทางการเมือง ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ประชาชนมอบให้ ซึ่งจะต้องพูดคุยเรื่อง ม.112 ที่จะพิจารณาใน MOU ด้วย
เชาวฤทธิ์ กล่าวว่า ตนมองเห็นเสียงของพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง ขอให้เรามาลดความขัดแย้ง และสร้างประเทศไทยและสังคมใหม่ด้วยกัน โดยให้ พิธา เป็นนายกฯคนที่ 30
นพ.ชลน่าน กล่าวย้ำในช่วงท้ายว่า หลายเรื่องเป็นประเด็นที่ต้องพูดคุยกัน เราจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล กลไกที่สำคัญที่สุด ก็คือตัวข้อตกลงร่วมหรือ MOU หลายเรื่องเป็นประเด็น ต้องเจรจาพูดคุยกัน ซึ่งจะอยู่ใน MOU ฉะนั้น ในวันที่ 22 พ.ค.จะเป็นวันที่บอกว่า พวกเราจะร่วมมือกันอย่างไร บนพื้นฐานว่าเราจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล อะไรที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่สามารถตกลงพูดคุยกันได้ ต้องพูดให้จบใน MOU แต่ถ้าไม่จบ ต้องมีทางออก เช่น ประเด็นอ่อนไหว หากยังไม่มีข้อตกลงร่วม เราก็จะแถลงว่า เราจะมีกลไกในการดำเนินการเรื่องนั้นได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ม.112 ที่ต่างฝ่ายต่างมีความเห็นต่างกันเยอะ ถ้าอะไรที่เห็นร่วมกันก็ไปได้เลย แต่อะไรที่เห็นต่างมาก ก็จะมาคุยกันเพื่อหาทางออกและวิธีการดำเนินการเรื่องนั้นอย่างไร เพื่อจะทำงานในฐานะที่เป็นรัฐบาล วันที่ 22 พ.ค.จึงจะมีความสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นที่ทุกคนห่วงใย พรรคเพื่อไทยก็จะมีคำตอบเรื่องนั้นเช่นกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามนายพิธาว่า นโยบายเงินดิจิทอล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทยจะนำไปพูดคุยและนำไปกำหนดใน MOU หรือไม่นั้น นายพิธา ระบุว่า ก็จะต้องพูดคุย เพราะเป็นของทางเศรษฐกิจที่จะต้องพูดคุยเรื่องงบประมาณ ก่อนที่จะทำ MOU
อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตว่า การลงนาม MOU ดังกล่าว ในวันที่ 22 พ.ค. 2566 นี้ ซึ่งตรงกับวันทำรัฐประหารเมื่อปี 2557 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมา 9 ปี แล้ว
